วิธีเริ่มต้นทำธุรกิจออนไลน์เบื้องต้น

บทความนี้ผมได้อ่านและเรียบเรียงมาจากบทความต่างประเทศ เกี่ยวกับการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์เบื้องต้น ยังมีบางมุมที่บ้านเราอาจจะใช้ไม่ได้ผล เนื่องจากความแตกต่างในเรื่องของตลาด และ Culture แต่เนื้อหาโดยรวมผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับใครหลาย ๆ คนที่อยากเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ครับ

5 ขั้นตอนต่อไปนี้คุณควรทำเป็นรายการไว้ เพื่อช่วยในการเริ่มต้น และนำทางให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณประสบความสำเร็จครับ

1.ใช้เวลาในการเก็บผลตอบรับสิ่งที่คุณกำลังจะขาย ก่อนขายจริง

อย่าเพิ่งเชื่อเพื่อนฝูง หรือแม้กระทั่งพ่อแม่ของคุณเอง ถ้าพวกเขาบอกว่าสินค้า หรือบริการของคุณขายได้แน่ ๆ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะผู้คนเหล่านั้นมีความผูกพันธ์กับคุณ และพวกเขาก็มักคิดว่าไอเดียที่คุณแชร์ให้ฟังนั้นยิ่งใหญ่ Adam Callinan, ผู้ก่อตั้ง BottleKeeper ให้ข้อคิดเห็นว่า ผลตอบรับที่คุณได้จากผู้คนที่ผูกพันธ์ด้วยนั้น คือ “หายนะตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจ”

ดังนั้นการพิสูจน์ว่าสินค้าหรือบริการของคุณนั้นมีตลาดอยู่จริงหรือไม่ ก็ต้องมาจาก Potential Customer (ว่าที่ลูกค้า) ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับคุณเลย ผู้ประกอบการบางรายใช้วิธี “ลองดูซิว่าลูกค้าจะยอมควักกระเป๋าจ่ายมั้ย” (will they pull out their wallet) เพื่อทดสอบไอเดีย ก่อนที่จะลงทุนในธุรกิจนั้น ๆ

Callinan เริ่มจากการสร้าง Prototype ตัวคูลเลอร์ขวดเบียร์สำหรับใช้ส่วนตัว แล้วปล่อยเป็นแคมเปญไปที่ Fundable เพื่อดูว่าจะมีใคร Pre-order สินค้าของเขามั้ย สุดท้าย Callinan ได้เงินทุนมาทั้งหมดเกือบ 14,000 เหรียญ คิดเป็น 280% ของเป้าที่ตั้งไว้ 5,000 เหรียญ

นอกจาก Fundable ก็ยังมี Platform ระดมทุนอีกหลายเจ้าที่เปิดให้คุณสามารถพิสูจน์ไอเดียของคุณได้ ไม่ว่าจะเป็น Kickstarter Indiegogo และ Rockethub

วิธีอื่นที่ผู้ประกอบการใช้เก็บผลตอบรับ เช่น Sujan Patel รองผู้อำนวยการบริษัทด้านการตลาดของ When I Work ใช้เครื่องมือสำหรับสำรวจความต้องการของลูกค้าอย่าง Qualaroo และ Client Heartbeat ถ้าคุณเริ่มต้นธุรกิจ การสำรวจก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้คุณได้ข้อมูลความคาดหวังของลูกค้าที่มีต่อสินค้า หรือบริการของคุณ ว่ามันสามารถช่วยแก้ปัญหาให้กับลูกค้าได้อย่างไร แต่ถ้าคุณมีธุรกิจอยู่แล้ว คุณสามารถใช้แบบสำรวจเพื่อสอบถามลูกค้าว่าพวกเขารู้จักสินค้า หรือบริการได้อย่างไร และถามอีกว่าลูกค้าเต็มใจที่จะกลับมาซื้อซ้ำหรือไม่ เพราะอะไร

Steve Tobak ผู้ก่อตั้ง Invisor Consulting กล่าวว่า “ถ้าคุณเป็นพนักงานในอุตสาหกรรมใด ๆ ก็ตาม และอยากเริ่มต้นธุรกิจ คุณสามารถเก็บผลตอบรับจากผู้คนในที่ทำงานของคุณได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการ และลูกค้าของคุณ”

2. สร้างเว็บไซต์

“คุณต้องมีเว็บไซต์เป็นของคุณเอง” Joel Widmer ผู้ก่อตั้ง Fluxe Digital Marketing กล่าว การมีเว็บไซต์ไม่เพียงแค่เป็นหน้าร้านที่คุณสามารถแนะนำลูกค้าให้เข้า่ไปดูข้อมูลสินค้า หรือบริการของคุณได้ แต่มันยังเป็นการสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ของคุณขึ้นมา ซึ่งมันก็คือการสร้างแบรนด์นั่นเอง ให้คุณสร้างเว็บไซต์ที่เรียบง่าย และอย่าลืมที่คุณจะเก็บอีเมล์ของลูกค้าที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ไว้ด้วย

3 ขั้นตอนง่าย ๆ สำหรับผู้ที่ต้องการเว็บไซต์สำหรับขายสินค้าโดยไม่ต้องลงทุนเยอะ

  • เลือกระบบจัดการเนื้อหาเว็บไซต์ (CMS) อย่าง WordPress ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะใช้งานง่ายและฟรี
  • จดโดเมน และเช่าโฮต์ อย่าง GoDaddy หรือ Bluehost
  • ปรับแต่งเว็บไซต์ของคุณให้รองรับการซื้อขายสินค้า Ecommerce โดยใช้ WooCommerce ซึ่งเป็น Plug-in ฟรีสำหรับ WordPress หรือจะใช้ Storefront หรือ WP eCommerce ก็ได้
  • อีกวิธีหนึ่ง คือ การไปเปิดร้านค้าบน E-commerce Platform อย่าง Shopify และ Squarespace

3. ศึกษาคู่แข่ง และลูกค้าของคุณ

คุณจำเป็นต้องศึกษาคู่แข่ง และแบรนด์ที่มีอยู่ในตลาด (เช่น ถ้าคุณจะขายสัญญาณเตือนไฟไหม้ ลองค้นหาเว็บไซต์คู่แข่งโดยใช้ Keyword ว่า “house safety”) Widmer กล่าวว่า “ลูกค้าของคุณมีโอกาสที่จะเข้าไปดูเว็บไซต์คู่แข่งทั้งนั้น” เขาแนะนำว่า ให้คุณลองใช้เครื่องมือวิเคราะห์การค้นหาอย่าง SimilarWeb และ Google’s related-search results เพื่อดูว่าเว็บไซต์ใดที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายกำลังเยี่ยมชมอยู่

Brandon Schaefer CEO แห่ง MyVirtualSalesForce แนะนำว่าสำหรับเครื่องมือฟรีที่คุณสามารถใช้สำรวจตลาดได้ คือ LinkedIn (โดยเข้าไปดูโพสต์ของคู่แข่งว่าพวกเขากำลังโพสต์เกี่ยวกับอะไร) Google Alerts (เพื่อเข้าไปดูการพูดถึงแบรนด์นั้น ๆ และการใช้ Keyword) และสุดท้ายคือ Google Trends.

4. สร้างแผนสำหรับการขาย และการตลาด

Patel แนะนำว่า “ถ้าคุณอยากขายให้ได้หนึ่งล้านแรก ให้คิดแบบย้อนกลับ คือ ใส่ตัวเลขทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับรายได้ในแต่ละเดือนลงไป เพื่อให้ได้หนึ่งล้านในปีแรก ได้แก่ จำนวนสินค้า ยอดสมัครสมาชิก หรือบริการที่ต้องขายได้ รวมทั้งสร้าง Benchmark ขึ้นมาเพื่อใช้วัดผล แม้ว่าคุณจะทำได้ไม่ถึงเป้า แต่คุณก็ยังมีพิมพ์เขียวไว้ใช้ดำเนินธุรกิจให้เป็นไปตามเป้า

อีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้คุณเข้าถึง Goal ที่วางไว้ คือ การวิเคราะห์ช่องทางทำการตลาดเพื่อยกระดับธุรกิจ โดยการใช้ประโยชน์จาก Social Media ให้ได้มากที่สุด คุณจะเริ่มใช้ Social Media 1 หรือ 2 ตัวก็ได้ เพื่อศึกษาลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย “สำหรับสินค้าใหม่ ๆ มักใช้ Facebook และ Pinterest” Widmer กล่าว “แต่สำหรับความเชี่ยวชาญ และบริการ ลองใช้ LinkedIn”

“นอกจากนี้ยังมี 2 กลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการทำการตลาด คือ การเขียน Blog บนเว็บไซต์ของคุณเอง และไปเป็น Guest เขียนบทความลงเว็บไซต์อื่น โดยเฉพาะพวกแบรนด์ดัง ๆ กลยุทธ์นี้เป็นการสร้าง Content และตัวตนของคุณขึ้นมาบนโลกออนไลน์ สำหรับแบรนด์ของคุณ” Widmer กล่าว

สำหรับการเลือกหัวข้อบทความสำหรับ Blog ลองเข้าไปดูที่ Buzzsumo ซึ่งเป็นเว็บไซต์ฟรีที่อนุญาตให้คุณสามารถเลือกประเภท และหัวข้อต่าง ๆ ได้ โดยเว็บจะทำการดึงบทความยอดนิยม 10 อันดับที่เกี่ยวข้องมาแสดง นอกจากนี้คุณยังสามารถเห็นรายชื่อเว็บไซต์ดัง ๆ ที่คุณจะมีโอกาสไปเป็น Guest เขียนบทความให้ได้อีกด้วย

“คุณควรไปเป็น Guest เขียนบทความลงเว็บไซต์อื่น เพื่อใช้โอกาสนี้ดึง User กลับมาที่เว็บของคุณ และเก็บอีเมล์พวกเขาไว้” Widmer กล่าว วิธีเดียวที่จะทำแบบนี้ได้ คือ ทำ “call to action” หรือกระตุ้นให้ User อยากมีส่วนร่วมกับเว็บไซต์ของคุณ โดยการมอบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้ เช่น ให้ลูกค้ากรอกอีเมล์ เพื่อให้ได้รับสิทธิ์ดาวน์โหลดอีบุ๊คฟรี เป็นต้น

เครื่องมือการตลาดอื่น ๆ ที่น่าสนใจได้แก่ KingSumo แอพฟรีที่คุณสามารถใช้เก็บอีเมล์ของลูกค้าได้ หรือการลงโฆษณาผ่าน Facebook Ads และเครื่องมือทำ E-mail Marketing อย่าง MailChimp

5. พึ่งตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้

“จำไว้เลยว่าคุณควรพึ่งตัวเองให้มากที่สุด หากคุณมีงบจำกัดจำเขี่ย ซึ่งมีข้อดี คือ คุณสามารถควบคุมการดำเนินธุรกิจ และแบรนด์ของคุณได้” Callinan กล่าว ชายผู้นี้สร้างเว็บไซต์ Ecommerce ของตัวเองโดยเริ่มจากศูนย์ โดยการพูดคุยกับผู้คนที่ทำเว็บไซต์ประสบความสำเร็จ เขายังแนะนำอีกว่า อย่าจับปลาหลายมือ ถ้าคุณกำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นทำธุรกิจ

“แต่ถ้าคุณต้องการคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ลองใช้บริการของ Clarity” Widmer กล่าว ผู้ใช้สามารถได้รับคำแนะนำที่เฉพาะเจาะจง และมีหลายระดับให้เลือกซึ่งก็มีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันไป

“ทุกธุรกิจเกิดใหม่ (Startup) เปรียบเสมือนเล่นการพนัน” Patel advises เจ้าของธุรกิจรายได้ 10 ล้านเหรียญ ปี 2015 กล่าว แนะนำว่า “คุณต้องลับจุดแข็งของธุรกิจให้คมกริบ แล้วลองลงเงินพนันเพิ่มเป็นสองเท่าดู”

Comments

comments