วันนี้คุณกล้าพอที่จะเป็นนายตัวเองแล้วหรือยัง แนวทางการเริ่มต้นธุรกิจแบบ The $100 Startup

ผมเชื่อว่าหลายคนมีความฝันที่อยากเป็นเจ้าของธุรกิจ หรือนายตัวเอง สร้างรายได้จากสิ่งที่เรารัก หากย้อนไป 10 ปีตอนที่ทำงานประจำหลายคนอาจจะเหมือนผมครับ คือ นึกไม่ออกว่าตัวเองอยากทำธุรกิจอะไร ตอนนั้นผมรู้แค่ว่าทักษะและความรู้ที่ผมมีจากมหาวิทยาลัยมันจะช่วยทำอะไรให้กับองค์กรได้บ้าง เราอยากทำงานอะไร องค์กรไหนที่เหมาะกับเรา และเราจะได้เงินเดือนประมาณเท่าไหร่

ผมทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ในกทม.ได้ 2 ปีหลังเรียนจบป.ตรี ก่อนที่จะลาออกมาเรียนต่อป.เอก ช่วงที่เรียนป.เอกใกล้จบ คือ จุดเปลี่ยนทางความคิด จากการอ่านหนังสือธุรกิจหลายเล่ม โดยเฉพาะ Steve Jobs ที่เขียนโดย Walter Isaacson ทำให้ผมรู้ว่าแท้จริงแล้วผมอยากทำอะไรต่อ ผมไม่ได้เลือกการเป็นอาจารย์ หรือเข้าทำงานในบริษัท แต่ผมเลือกฟังเสียงหัวใจของตัวเอง นั่นคือผมอยากเป็นผู้ประกอบการธุรกิจสตาร์ทอัพสักตัวที่สร้างผลกระทบอะไรบางอย่างได้

อย่างที่ผมเคยเล่าไปธุรกิจสตาร์ทอัพตัวแรกผมล้มไม่เป็นท่า ด้วยความที่เราไม่มีความรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจเลย เราสร้างผลิตภัณฑ์ (Product) ขึ้นมาได้ แต่มันเป็นสิ่งที่ผู้คนไม่ได้ต้องการอย่างแท้จริง แย่ไปกว่านั้น คือ มันไม่มีโมเดลสร้างรายได้ (Business Model) ทำให้ผมต้องปิดโครงการนี้หลังจากที่ปล่อยออกไปเพียงแค่ 4 เดือน และถือเป็นบทเรียนครั้งสำคัญที่ทำให้ผมต้องหาความรู้เพิ่มเติมในการเริ่มต้นธุรกิจครับ

ที่ว่ามานี้ผมอยากจะบอกว่าการลงทุนกับความรู้เป็นสิ่งที่ดี และยิ่งเรานำความรู้ที่เรามีไปลองลงมือมัน มันยิ่งเกิดผล ผมเป็นคนหนึ่งที่เชื่อแบบนั้น หนังสือสองเล่มที่คุณเห็นด้านล่างนี้ เป็นหนังสือในหมวดธุรกิจที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งเท่าที่ผมเคยได้อ่านมาเลย ชื่อของมันคือ The $100 Startup หรือ ใช้เงินน้อยกว่าแต่รวยก่อน

The $100 Startup ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2012 กว่าจะแปลเป็นภาษาไทยในชื่อ “ใช้เงินน้อยกว่าแต่รวยก่อน” และวางขายก็ต้องรอถึงปี 2017 แต่เนื้อหาในเล่มยังคงสามารถใช้ได้ดีกับการทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน ที่สามารถเริ่มต้นได้โดยใช้ทุนต่ำ ใครที่ยังไม่เคยอ่าน ผมแนะนำให้คุณลองซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่านดูครับ บทความนี้ไม่ได้รีวิวหนังสือ แต่ต้องการหยิบประเด็นที่น่าสนใจมาเล่าสู่กันฟังในการที่ใครสักคนอยากเริ่มต้นทำธุรกิจ หนังสือเล่มนี้สามารถให้แนวทางที่ดีในการเริ่มต้นแก่คุณได้

หนังสือ The $100 Startup ของ Christ Guillebeau ช่วยปลุกไฟความเป็นผู้ประกอบการให้กับคนที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ได้ดีมาก ซึ่ง Christ ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ผู้ประกอบการในหลายประเทศกว่า 1,500 คน แล้วนำมาทำเป็นพิมพ์เขียวให้ผู้อ่านได้เห็นแนวทางที่หลากหลาย ในการที่คนทั่วไปสามารถเริ่มต้นธุรกิจที่น่าทึ่งได้จากความหลงใหลหรือทักษะที่พวกเขามี โดยที่ไม่ต้องใช้เงินทุนเยอะ บางคนสามารถทำธุรกิจได้จากทุกแห่งบนโลกใบนี้ แนวคิดและไอเดียจากหนังสือเล่มนี้สามารถนำมาใช้ได้จริง เดี๋ยวผมจะแชร์ให้ฟังในพาร์ทของการทำธุรกิจส่วนตัว

แนวคิดในการเริ่มต้นธุรกิจแบบ The $100 Startup

ผมชอบแนวคิดที่เรียบง่ายของหนังสือเล่มนี้ ในแง่ของการเริ่มต้นธุรกิจในลักษณะของ Microbusiness หรือ Startup ที่คุณไม่จำเป็นต้องมีเงินลงทุนมหาศาล (เริ่มด้วยเงินไม่เกิน 100 ดอลลาร์ ตามชื่อหนังสือ) หรือจ้างพนักงานจำนวนมาก แต่คุณสามารถเริ่มต้นแบบทุนต่ำ โดยใช้ความหลงใหล (Passion) หรือทักษะ (Skill) ในการสร้างบางสิ่งบางอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อผู้คน (Value) และมันก็สามารถกลายเป็นธุรกิจที่ทำเงินให้คุณจากสิ่งที่คุณรัก

วันนี้คุณกล้าพอที่จะเป็นนายตัวเองแล้วหรือยัง แนวทางการเริ่มต้นธุรกิจแบบ The $100 Startup
Credit: The $100 Startup

ความหลงใหลหรือทักษะ + ประโยชน์ต่อผู้อื่น = ความสำเร็จ

คุณอ่านมาถึงตรงนี้อาจจะสงสัยว่า แล้วเราจะเอา Passion หรือความหลงใหลอะไรดีมาสร้างธุรกิจ เพราะคนหนึ่งคนนั้นมีความหลงใหลหลายอย่าง เช่น ชอบอ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์ แต่งเพลง ถ่ายวิดีโอ เขียนโปรแกรม ถ่ายรูป เดินป่า วิ่งมาราธอน เดินทางไปต่างประเทศ การลงทุน และอื่น ๆ อีกมากมาย

Christ แนะนำให้คุณประเมินความหลงใหลให้ดี ไม่ใช่หน้ามืดไล่ตามมันอย่างเดียว เพราะไม่ใช่ทุกความหลงใหลที่ทำเงิน หรือคุ้มที่จะนำมาทำธุรกิจ ยกตัวอย่าง Christ เป็นคนที่ชอบกินพิซซ่าเอามาก ๆ แต่เขาไม่สามารถทำเงินได้จากความหลงใหลในการกินพิซซ่า หรือแม้กระทั่งการเป็นนักเขียนบอกเล่าเรื่องราวการเดินทางไปเที่ยวรอบโลกของตัว Christ เองก็เป็นเรื่องที่ไม่ทำเงิน เพราะมันไม่ได้สร้างคุณค่าอะไรบางอย่างขึ้นมาให้กับผู้คน ในหนังสือเล่มนี้ คุณค่า หมายถึง การช่วยเหลือผู้คน หรือ Value means helping people ซึ่งปัจจัยที่ช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้ คือ คุณค่าที่ธุรกิจนั้นมอบให้กับลูกค้า

แน่นอนว่า Christ แนะนำให้ผู้ประกอบการไล่ตามความหลงใหล เพราะมันเป็นสิ่งที่ผลักดันคุณ แต่การสร้างธุรกิจจากความหลงใหลอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ คุณจำเป็นต้องมีทักษะด้วย โดยมีสมการดังนี้

(ความหลงใหล + ทักษะ) -> (ปัญหา + ตลาด) = โอกาส

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะไม่ใช่ทุกความหลงใหลที่ทำเงิน หรือสามารถนำมาสร้างเป็นธุรกิจได้ หรือต่อให้มันน่าสนใจจริง ๆ แต่ตลาด (คนที่ประสบปัญหา) มันมีขนาดที่ใหญ่พอหรือเปล่า ถ้าใช่โอกาสในการเป็นผู้ประกอบการของคุณก็ดูมีอนาคตมากขึ้น

3 สิ่งสู่การเป็นผู้ประกอบการ

หลายคนอาจจะสงสัยว่าในการเริ่มต้นธุรกิจต้องเตรียมอะไร Christ ชี้ให้เห็นว่าเพียงคุณมี 3 อย่างต่อไปนี้ คุณก็สามารถเริ่มต้นเป็นผู้ประกอบการได้แล้ว

  1. ผลิตภัณฑ์หรือบริการ: คุณขายอะไร
  2. กลุ่มคนที่ยินดีจะจ่ายเงินซื้อมัน: ลูกค้าของคุณ
  3. วิธีรับชำระเงิน: คุณจะแลกเปลี่ยนผลิตภัณฑ์หรือบริการกับเงินได้อย่างไร

ถ้าคุณมีกลุ่มคนที่ให้ความสนใจแต่ไม่มีอะไรจะขาย ธุรกิจก็เกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าคุณมีของขายแต่ไม่มีใครยินดีจะซื้อ ธุรกิจก็เกิดขึ้นไม่ได้ และถ้าคุณไม่มีวิธีรับชำระเงินที่ง่ายและชัดเจน ธุรกิจก็เกิดขึ้นไม่ได้เช่นเดียวกัน แต่ถ้าคุณมีครบทั้ง 3 อย่างคุณก็สามารถเรียกตัวเองว่าผู้ประกอบการได้แล้ว

Chist แนะนำว่าในปัจจุบันคุณสามารถสร้างเว็บไซต์ขึ้นมา โดยคุณอาจจะใช้ของฟรีอย่าง WordPress.org แล้วลองยื่นข้อเสนอบางอย่างให้กับผู้คน ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการที่คุณมี รวมถึงติดตั้งช่องทางการรับชำระเงินอย่าง Paypal แค่นี้คุณก็พร้อมเริ่มทำธุรกิจแล้ว หัวใจสำคัญ คือ การใช้ทุนต่ำ และทดสอบไอเดียธุรกิจให้ไว

เราควรเริ่มธุรกิจจากสิ่งที่เราชอบ หรือสิ่งที่ผู้คนต้องการ

หลายคนสงสัยว่า “เราควรเริ่มต้นธุรกิจจากความหลงใหล หรือสิ่งที่ผู้คนต้องการ” ซึ่ง Christ แนะนำว่า มันอาจจะยาก และใช้เวลานานในการไล่ทดสอบทุกความหลงใหลของคุณว่ามีผู้คนสนใจมันหรือเปล่า ทางที่ง่ายกว่า คือ การรู้ว่าผู้คนต้องการอะไร แล้วเอาความหลงใหล หรือทักษะของคุณไปสร้างคุณค่า เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้คนเหล่านั้น

โดยการตอบสนองความต้องการของผู้คน คุณต้องให้ในสิ่งที่ผู้คนต้องการจริง ๆ ในเล่มจะยกตัวอย่าง Give them the fish คือ ถ้าผู้คนอยากได้ปลาก็ยื่นปลาให้พวกเขาเลย ไม่ใช่สอนวิธีตกปลาให้ เพราะนั่นเท่ากับเป็นการทำลายโอกาสทางธุรกิจของคุณ

Christ ยกตัวอย่างธุรกิจร้านอาหาร เพื่อให้เห็นแนวทาง Give them the fish ว่า ร้านอาหาร คือ ที่ที่ผู้คนไปผ่อนคลายหลังจากการทำงานเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน มีคนจัดการทำอาหารให้พวกเขากิน โดยที่ไม่ต้องสนใจว่าในครัวจะเกิดอะไรขึ้น และไม่ต้องทำอาหารด้วยตนเอง ปัญหา คือ ธุรกิจหลายอย่างถูกสร้างขึ้นด้วยแนวคิดที่ว่าลูกค้าควรเข้าไปในครัว และทำมื้อค่ำเอง พูดง่าย ๆ คือ แทนที่จะให้ในสิ่งที่ผู้คนต้องการไปเลย เจ้าธุรกิจกลับคิดไปเองว่าคงจะดีกว่าถ้าให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วม เพราะพวกเขาคิดว่าจริง ๆ แล้วลูกค้าต้องการแบบนั้น

“Catch a man a fish, and you can sell it to him.
Teach a man to fish, and you ruin
a wonderful business opportunity”
-KARL MARX

ประเด็นคือแล้วอะไรคือสิ่งที่ผู้คนต้องการ หนึ่งใน Key Idea สำหรับผมที่ได้รับจากหนังสือ The $100 Startup คือ การรู้ว่าผู้คนต้องการอะไร ซึ่งมี 4 เรื่องที่ผู้คนต้องการมากขึ้น และ 4 เรื่องที่ผู้คนต้องการน้อยลง ถ้าเรารู้ความต้องการของผู้คนมันก็ง่ายครับ ที่เราจะหยิบหัวข้อที่ตรงกับคุณค่าที่เราสามารถส่งมอบให้กับผู้คนได้

More Less
Love (ความรัก) Stress (ความเครียด)
Money (เงิน) Conflict (ความขัดแย้ง)
Acceptance (การยอมรับ) Hassle (ความยุ่งยาก)
Free Time (เวลาว่าง) Uncertainty (ความไม่แน่นอน)

ผู้ประกอบการที่ใช้ความหลงใหลในการสร้างธุรกิจ

วันนี้คุณกล้าพอที่จะเป็นนายตัวเองแล้วหรือยัง แนวทางการเริ่มต้นธุรกิจแบบ The $100 Startup
Credit: viewfromthewing.boardingarea.com

Gary Leff ผู้เปลี่ยนงานอดิเรกให้กลายเป็นธุรกิจ

Gary Leff เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่สร้างรายได้จากงานอดิเรกที่เขารัก เรียกได้ว่าน่าอิจฉาสุด ๆ สำหรับคนที่มีงานประจำทำ แต่ก็มีรายได้เสริมที่ไม่น้อยหน้าด้วย Gary ทำงานเป็น CFO หรือ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินให้กับ ศูนย์วิจัย 2 แห่งในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เหมือนกับคนทั่วไปที่ในแต่ละวันทุกเช้าจะต้องเข้ามีเช็คอีเมล์ แต่อีเมล์นี้กลับไม่ได้มาจากเพื่อนร่วมงานของ Gary แต่มาจากลูกค้าธุรกิจเสริมที่เขาทำอยู่ ซึ่งเป็นธุรกิจให้คำปรึกษาด้านการท่องเที่ยว

ต้องบอกว่า Gary เป็น “แฮกเกอร์ด้านการท่องเที่ยว” เขารักการเดินทางและมีไมล์สะสมจำนวนมาก สิ่งที่ Gary มี คือ เขารู้วิธีที่จะนำไมล์สะสมไปแลกตั๋วเครื่องบิน ลูกค้าของ Gary คือ ผู้บริหารที่ส่วนใหญ่มักสะสมไมล์จากการใช้บัตรเครดิต แต่ถึงคราวจะนำไมล์ไปแลกตั๋ว พวกเขากลับประสบปัญหายุ่งยาก เช่น ต้องสะสมไมล์เท่าไหร่จึงจะแลกตั๋วได้ หรือถ้าสายการบินแจ้งว่าเที่ยวบินนั้นไม่มีที่นั่งว่าง พวกเขาไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อ

Gary คิดค่าบริการในราคา 250 เหรียญ ในสิ่งที่คุณเองก็สามารถทำได้ซึ่งเป็นอะไรที่ค่อนข้างแปลก แต่บริการของ Gary ส่งมอบคุณค่ามากกว่าเงินที่ลูกค้าจ่ายไป การท่องเที่ยวหลายครั้งที่ Gary จัดให้ลูกค้ามีมูลค่ามากถึง 5,000 เหรียญหรือมากกว่านั้น เขาเชี่ยวชาญด้านการจองตั๋วชั้นหนึ่งและชั้นธุรกิจ บางครั้งเขาสามารถเลือกตั๋วเครื่องบินฟรี 1 ใบที่สามารถนำไปใช้ได้กับ 6 สายการบินเลยทีเดียว ถ้าหาก Gary จองตั๋วไม่สำเร็จ ลูกค้าก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงิน เขาคิดเงินเฉพาะการจองที่เสร็จสมบูรณ์แล้วเท่านั้น เพราะนั่นคือการส่งมอบคุณค่าไปยังลูกค้า

นอกจากผู้บริหาร กลุ่มคนวัยเกษียณที่วางแผนเดินทางก็เป็นอีกกลุ่มที่ใช้บริการของ Gary พวกเขามีไมล์สะสมอยู่พอสมควร แต่ไม่อยากมาทำความเข้าใจวิธีใช้ไมล์แลกตั๋ว เพราะมันยุ่งยาก นอกจากโทรหาสายการบินแล้ว  Gary ใช้วิธีติดต่อลูกค้าทุกคนผ่านทางอีเมล ธุรกิจเสริมนี้ทำรายได้ให้กับ Gary มากถึง 75,000 เหรียญ และน่าจะทำได้ถึง 6 หลักในอนาคต

Gary บอกว่า “ที่เขาทำธุรกิจนี้ เพราะมันสนุกเท่านั้นเอง” เขามีรายได้จากงานประจำอยู่แล้ว และจะนำรายได้เสริมนี้ไปลงทุน ตอนนี้เขาสะสมไมล์จำนวนมหาศาลอยู่เช่นกัน เพื่อนำไปใช้เที่ยวรอบโลกกับภรรยา ในเคสของ Gary เรียกได้ว่าเขาสร้างธุรกิจจากงานอดิเรกที่เขารักจริง ๆ

วันนี้คุณกล้าพอที่จะเป็นนายตัวเองแล้วหรือยัง แนวทางการเริ่มต้นธุรกิจแบบ The $100 Startup
Credit: fluentin3months.com

Benny Lewis ผู้ทำให้การเรียนภาษาต่างประเทศเป็นเรื่องง่าย

ใครที่คิดว่าการเรียนภาษาต่างประเทศเป็นเรื่องที่ยาก และต้องใช้เวลาบ้างยกมือขึ้น แต่สำหรับ Benny ชายผู้เคยมีปัญหาเรื่องการเรียนภาษา เขาค้นพบวิธีที่จะทำให้ผู้คนสามารถเรียนรู้ภาษาต่างประเทศได้อย่างรวดเร็ว และมันกลายเป็นทักษะที่ทำเงินให้เขาจวบจนทุกวันนี้ครับ

Christ พบกับ Benny ช่วงที่เขารอเปลี่ยนเครื่องที่กรุงเทพ Benny เป็นชาวไอร์แลนด์ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ เขาชอบพูดว่าตัวเองได้เงินจากการเรียนภาษา โดยทำเงินได้มากกว่า 65,000 เหรียญต่อปี และไม่ต้องเป็นลูกน้องใคร อีกทั้งยังมีโอกาสเดินทางไปสัมผัสวัฒนธรรมต่าง ๆ ทั่วโลก ในวัยเด็ก Benny พูดได้เพียงแค่ภาษาอังกฤษ และไม่มีความสามารถในการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ เพราะเรียนจบป.ตรีสาขาวิศกรรมศาสตร์ พอเรียนจบเขาตั้งใจย้ายไปอยู่ที่เซบีย่า ประทศสเปน และตั้งใจว่าจะเรียนรู้ภาษาสเปนแบบจริงจัง

ผ่านไปหกเดือน Benny ก็ยังไม่สามารถพูดภาษาสเปนได้ เนื่องจากส่วนใหญ่เขาคลุกคลีอยู่กับคนสเปนที่พูดอังกฤษ และคนที่มาจากประเทศอื่น ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจพูดแต่ภาษาสเปนเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน ช่วงแรกเขารู้สึกอึดอัดและอับอายเพราะไม่รู้วิธีผันคำกริยา จึงใช้แต่รูป Present Tense และโบกไม้โบกมือไปมาเพื่อให้คนเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด

แต่นั่นเป็นเรื่องในอดีต Benny พบว่าการที่เขาพูดภาษาต่างประเทศเพียงอย่างเดียว ช่วยให้เขาได้เรียนรู้ภาษานั้นเร็วกว่าการใช้ภาษาอังกฤษเข้าช่วย ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์เขาก็สามารถพูดภาษสเปนได้คล่อง การพูดภาษาสเปนตลอด 1 เดือนเต็มได้ผลดีกว่าการใช้เวลา 6 เดือนเพื่อเรียนรู้มันเสียอีก ตอนนี้เขาเริ่มอยากเรียนภาษาอื่นแล้ว จึงย้ายไปเบอร์ลินเพื่อเรียนภาษาเยอรมัน จากนั้นย้ายไปปารีสเพื่อเรียนภาษาฝรั่งเศส แล้วย้ายไปปรากเพื่อเรียนภาษาเช็คที่ขึ้นว่ายากสุด ๆ

Benny ไม่คิดทำงานเป็นวิศวกร เขาออกเดินทางไปเรื่อย ๆ หาเงินจากการเป็นที่ปรึกษาระยะสั้น และรับงานทุกครั้งที่มีโอกาส เขาจะตื่นกลางดึกเพื่อประชุมทางโทรศัพท์กับลูกค้าในทวีปอเมริกาเหนือ เรียกได้ว่าชายคนนี้มีพลังเหลือเฟือ และด้วยการที่เป็นคนโสดก็ช่วยให้ Benny สามารถใช้ชีวิตได้สุขสบายโดยใช้เงินเพียงเล็กน้อย แต่เห็นได้ชัดว่า Benny มีทักษะยอดเยี่ยมที่สามารถแบ่งปันให้กับคนทั่วโลกได้ ชายคนนี้บอกกับทุกคนที่รับฟังว่า คุณสามารถเรียนรู้ภาษาต่างประเทศได้ แม้คุณจะคิดว่าตัวเองไม่มี “พรสวรรค์” หรือพูดได้แค่ภาษาเดียวก็ตาม

Christ ทึ่งในทักษะของ Benny และแนะนำให้เขาลองสอนภาษาให้กับคนจำนวนมากดู ซึ่งเขาก็คิดมาสักพักแล้ว เขาลองคิดชื่อโครงการสอนภาษาจนในที่สุดได้ชื่อ Fluent in  3 Months ซึ่งเขาเป็นคนสอนเองทั้งหมด และมีภาษาที่สอนมากถึง 8 ภาษา ถึงแม้ Benny จะบอกว่าเขาได้เงินจากการเรียนภาษา แต่ความจริงแล้วเขาได้เงินจากการช่วยเหลือผู้อื่นต่างหาก จริงอยู่ที่การมอบแรงบันดาลใจเป็นเรื่องสำคัญ แต่ถ้าช่วยเหลือใครไม่ได้เขาก็เป็นแค่ชาวไอริสที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ และพูดได้หลายภาษา ยังไม่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง

สิ่งที่ Christ ต้องการสื่อคือไม่ใช่ทุกความหลงใหลที่ทำเงิน ในกรณีของ Benny คือชอบเรียนภาษาต่างประเทศ แต่การชอบเรียนไม่สามารถนำมาสร้างธุรกิจได้ ดังนั้นอาจจะต้องแยกความหลงใหลกับธุรกิจให้ออก Benny มีทักษะที่ดีดังนั้นหากต้องการทำธุรกิจเขาจำเป็นที่จะต้องพลิกมุมมองบางอย่าง อย่างการสอนคนอื่นให้สามารถเรียนรู้ภาษาได้อย่างรวดเร็วแบบที่ตัวเขาเองได้พิสูจน์มาแล้ว

วันนี้คุณกล้าพอที่จะเป็นนายตัวเองแล้วหรือยัง แนวทางการเริ่มต้นธุรกิจแบบ The $100 Startup
Credit: meganfornebraska.com

Megan Hunt ปั้นธุรกิจจากสิ่งที่ตัวเองรัก

Christ พบกับ Megan Hunt ที่ Co-Working Space ของเธอในเมือง Omaha เธอชอบกระเตงลูกมานั่งทำงานด้วยในตอนกลางคืน ผู้หญิงคนนี้มุ่งมั่นเป็นเจ้าของธุรกิจตั้งแต่อายุ 19 ปี เธอรู้ตัวมาตลอดว่าไม่อยากทำงานประจำ และตั้งเป้าที่จะเป็นเจ้าของธุรกิจให้เร็วที่สุด และแม้จะเคยทำงานประจำมาบ้างแต่นั่นเป็นงานที่ช่วยให้เธอมีเงินเก็บเพื่อทำธุรกิจของตัวเอง

Megan ทำธุรกิจรับตัดชุดแต่งงาน และเครื่องประดับสำหรับเจ้าสาวแบบตามที่ลูกค้าอยากได้ ลูกค้าของเธอคือผู้หญิงทั่วโลกอายุ 24-30 ปี หลังจากทำเงินได้ 40,000 เหรียญในปีแรก เธอก็ขยายกิจการด้วยการจ้างพนักงาน 2 คน และจัดที่ทำงานเป็น Co-Working Space

แน่นอนว่าในชีวิตผู้ประกอบการย่อมมีหายนะเกิดขึ้นบ้างอย่างน้อยหนึ่งครั้ง บางครั้งก็เป็นเรื่องเล็ก บางคร้ังก็ใหญ่มากจนถึงขั้นต้องปิดกิจการ กรณีของ Megan เกิดขึ้นในวันคริสมาสต์ปี 2010 หลังจากใช้เวลา 70 ชม.ในการทำช่อดอกไม้สุดหรูให้ว่าที่เจ้าสาวทั้งสองคนเสร็จ เธอส่งดอกไม้ไปให้ลูกค้าโดยใช้บริการไปรษณีย์สหรัฐอเมริกา ปรากฏว่าไปรษณีย์ทำดอกไม้หายในระหว่างการขนส่ง Megan เล่าให้ฟังว่า “มันเลวร้ายมาก ๆ ฉันต้องคืนเงินให้ลูกค้าทั้งที่ยังไม่รับเงินมา ที่แย่ไปกว่า คือ เจ้าสาวทั้งสองคนจะไม่มีดอกไม้ในงานแต่ง” แต่เธอก็ทำสิ่งที่จำเป็นโดยเริ่มจากคืนเงินลูกค้า เขียนจดหมายขอโทษ และเขียนเรื่องราวทั้งหมดลงบล็อกส่วนตัวเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับคนอื่น จากนั้นก็ก้าวต่อไป

นอกเหนือจากสาบานว่าจะไม่ใช้บริการไปรษณีย์สหรัฐอเมริกาอีกต่อไป Megan ยังคงรักธุรกิจของเธอ และไม่ต้องการไปทำอย่างอื่น เธอพูดว่า “ทุกวันฉันจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากคนที่มาใช้ Co-Working Space พวกเขาทำให้ฉันมีแรงใจและแรงจูงใจ แถมฉันไม่ได้ติดต่อพูดคุยกับลูกค้าที่กำลังมีความรักด้วย ฉันมีลูกสาววัยแรกเกิดพามาที่ทำงานได้ มีศักยภาพในการหาเงินไม่จำกัด และมีอิสระที่จะนำเงินทุกดอลลาร์ที่หาได้ไปลงทุนกับสิ่งที่ทำให้ฉันมีความสุขต้องบอกว่า Megan Hunt เป็นอีกหนึ่งผู้ประกอบการที่นำสิ่งที่ตนเองรักมาสร้างธุรกิจได้อย่างน่าทึ่งเหมือนอย่างที่ Gary ผู้มีความหลงใหลในการแลกตั๋วเครื่องบินจากการสะสมไมล์

วันนี้คุณกล้าพอที่จะเป็นนายตัวเองแล้วหรือยัง แนวทางการเริ่มต้นธุรกิจแบบ The $100 Startup
Credit: busycreator.com

Mignon Fogarty ไม่ใช่ทุกความหลงใหลที่มีคนสนใจมากพอ

Mignon Fogarty อาศัยอยู่ในเมือง Reno รัฐ Nevada เธอก่อตั้งเว็บไซต์ quickanddirtytips.com ซึ่งหลายคนรู้จักกับพอดแคสต์ที่ชื่อ Grammar Girl ซึ่งได้รับความนิยมอย่างล้มหลามตั้งแต่ตอนแรก ๆ ที่ออกอากาศ ส่งผลให้มีการตีพิมพ์หนังสือ จัดทำรายการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงมีสื่อให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก

แต่ก่อนที่จะมาประสบความสำเร็จกับ Grammar Girl นั้น Mignon เคยทำรายการเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ที่ชื่อ Absolute Science ซึ่งเธอรักและหลงใหลกับมันมาก เธอทุ่มเงินไปกับการโฆษณามากกว่า Grammar Girl เสียอีก และแม้ว่า Absolute Science จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่มีทางทำเงินได้คุ้มกับเวลาที่ Mignon เสียไป

“Absolute Science”

หลงใหล…แต่มีผู้ฟังไม่มากพอ

“Grammar Girl”

หลงใหล…และมีผู้ฟังจำนวนมาก

ดังนั้นเธอจึงเปลี่ยนจากรายการที่ให้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ มาเป็นรายการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ซึ่งมีฐานผู้ฟังมากกว่า และทำให้เธอมีรายได้จากโฆษณา และสปอนเซอร์ ในเคสของ Mignon นั้น Christ ต้องการชี้ให้เห็นว่า โดยปกติคุณไม่สามารถทำเงินได้จากงานอดิเรก แต่จะทำเงินจากการช่วยเหลือคนอื่นให้ได้ทำงานอดิเรกนั้น หรือจากสิ่งอื่นที่เกี่ยวข้องกับมัน ซึ่ง Mignon สามารถถ่ายทอดเรื่องของกฎไวยากรณ์ต่าง ๆ ออกมาได้อย่างสนุกสนาน

หากพิจารณาทั้ง 4 ผู้ประกอบการ พวกเขามีความหลงไหล + ทักษะ รวมถึงการทราบถึงปัญหาที่ผู้คนประสบ และนั่นคือ โอกาสในการทำธุรกิจของพวกเขาครับ

ความหลงใหล ทักษะ ปัญหา โอกาส
Gary การเดินทางไปต่างประเทศ จองตั๋วเครื่องบินชั้นหนึ่ง หรือชั้นธุรกิจโดยใช้ไมล์สะสม ระบบแลกตั๋วด้วยไมล์สะสมขาดความโปร่งใสจะมีความยุ่งยาก Gary ใช้ไมล์สะสมแลกตั๋วเครื่องบินให้ลูกค้าที่ไม่รู้วิธีและไม่มีเวลา
Benny การเรียนภาษา เรียนภาษาและใช้ระบบการสอนที่ผ่านการพิสูจน์แล้ว ผู้คนอยากเรียนภาษา แต่ล้มเหลวเพราะใช้วิธีเดิม ๆ Benny กำจัดอุปสรรคในการเรียนภาษา และวิธีแก้ปัญหา
Megan การตัดชุดแต่งงานและผลิตเครื่องประดับทำมือ ผลิตงานฝีมือตามความต้องการของลูกค้า และสร้างความสัมพันธ์อันยาวนาน เจ้าสาวต้องการสิ่งที่พิเศษ และทำด้วยมือ Megan มีส่วนร่วมในงานสำคัญที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในชีวิตของลูกค้า 
Mignon การใช้ภาษาอังกฤษและงานเขียนที่สื่อความหมายชัดเจน ถ่ายทอดกฎไวยากรณ์ต่างๆออกมาได้อย่างสนุกสนาน ผู้คนมองว่าไวยากรณ์เป็นเรื่องยากหรือน่าเบื่อ Mignon สอนไวยากรณ์ผ่านเรื่องราว และตัวอย่างต่างๆ

ในเล่ม The $100 Startup ยังมีกรณีศึกษาผู้ประกอบการที่น่าสนใจอีกหลายคนอย่าง Brandon Pearce ครูสอนดนตรีที่มีทักษะการเขียนโปรแกรม เขาสร้างโปรแกรมช่วยจัดตารางสอนแก่ครูสอนดนตรีทั่วโลก ทำเงินต่อปีได้มากถึง 360,000 เหรียญ ด้วยระบบสมัครสมาชิก จนตัวเองมีอิสระที่จะเดินทาง และทำงานจากที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้

อีกตัวอย่าง คือ Brett Kelly พนักงานประจำที่มีความฝันอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่ก็นึกไม่ออกว่าจะทำอะไรดี เขาชอบโปรแกรมช่วยจดบันทึกของ Evernote มาก และเห็นโอกาสจากการที่ไม่มีใครทำคู่มือใช้งานโปรแกรมตัวนี้ เขาจึงเขียน Ebook เกี่ยวกับการใช้งานโปรแกรม Evernote ที่ชื่อว่า Evernote Essentials โดยอธิบายการใช้งานแบบทุกซอกทุกมุม และสร้างรายได้ให้กับเขามากถึง 120,000 เหรียญ

อย่างที่เกริ่นไว้ในช่วงต้นบทความ ผมขอยกธุรกิจส่วนตัวซึ่งส่วนหนึ่งได้รับไอเดีย และแรงบันดาลใจจากหนังสือ The $100 Startup นั่นก็คือ ธุรกิจขาย Ebook บนเว็บไซต์ START IT UP และธุรกิจสตาร์ทอัพ BeNeat แม่บ้านออนไลน์

Case Study: START IT UP – เริ่มจากความหลงใหล แล้วค่อยหาสิ่งที่ผู้คนต้องการ

อธิบายตัวอย่างการนำแนวคิด The $100 Startup มาปรับใช้กับธุรกิจส่วนตัว โดยใช้สมการ

(ความหลงใหล + ทักษะ) -> (ปัญหา + ตลาด) = โอกาส

  • ความหลงใหล = การได้ศึกษา และเผยแพร่บทความเกี่ยวกับธุรกิจสตาร์ทอัพ และแนวทางการเป็นผู้ประกอบการออนไลน์ (คนอ่านฟรีไม่ทำเงิน)
  • ทักษะ = การเป็นโฮสต์ Airbnb + การใช้งานระบบ Airbnb
  • ปัญหา = ความยุ่งยากในการลงที่พักบน Airbnb + คนอยากได้แนวทางเริ่มต้นธุรกิจให้เช่าที่พักบน Airbnb โดยไม่ต้องไปลองผิดลองถูก
  • ตลาด = เจ้าของที่พักทุกคนที่อยากสร้างรายได้จากการปล่อยเช่าให้กับนักท่องเที่ยว (ขนาดใหญ่)

“ผมจะทำเงินจากการเขียนบล็อกได้อย่างไร” หลายคนอาจจะคิดแบบนี้ว่าเราจะทำเงินจากสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้อย่างไร (ว่ากันตรง ๆ ผมก็คิดแบบนั้นนะในตอนแรก) แต่ถ้าคุณได้อ่านหนังสือ The $100 Startup คำถามที่มีต่อการมองสิ่งเดียวกันของคุณจะเปลี่ยนไปคือ “คุณจะช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างไรจากสิ่งที่คุณทำอยู่” คุณค่า คือ การช่วยเหลือผู้อื่น

ผมหลงใหลในการเขียนบทความ ในการเล่าเรื่องราวของธุรกิจสตาร์ทอัพ และผู้ประกอบการ ถ้าตามแนวทางของ Christ มันคือความหลงใหลที่ไม่ทำเงิน ผมนึกไม่ออกว่าผมจะมีรายได้จากการเขียนบล็อกได้อย่างไร โมเดลการหารายได้ที่ผมพอจะนึกออก (ในสมัยนั้น) คือ ติด Google Adsense หรือแปะพวก Affiliate ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ได้อยู่ในหัวผมเลย เพราะเราไม่มีทราฟฟิกคนอ่านเยอะขนาดนั้น ที่พอเป็นไปได้หน่อย คือ Advertorial หรือบทความโฆษณา แต่บล็อกก็ต้องดังมีคนติดตามในระดับหนึ่งถึงจะมีธุรกิจมาสนใจให้เขียน Advertorial ให้ครับ

ไอเดียของ Pat Flyn ในการเขียน Ebook หรือการนำความรู้มาผลิตเป็นสินค้า (Information Product) ขายให้กับคนที่สนใจนั้นน่าสนใจมาก แต่ผมไม่รู้ว่าความรู้ที่ผมมีนั้น ความรู้ไหน คือ สิ่งที่ผู้คนต้องการ และยินดีที่จะซื้อมัน

ไอเดียการรู้ความต้องการของผู้คนจากหนังสือ The $100 Startup ทำให้ผมมั่นใจมากขึ้นว่าผู้คนต้องการอะไร ผมเลือกหัวข้อ Money เพราะผมมีทักษะและประสบการณ์การเป็นโฮสต์ Airbnb ซึ่งมันจะช่วยให้ผู้คนสามารถทำเงินจากการปล่อยเช่าห้องว่างของพวกเขาในยุคอินเทอร์เน็ตได้

Airbnb Entrepreneur 2018 ผู้ประกอบการ Airbnb มือใหม่ สร้างรายได้ จากการให้เช่าที่พัก ฉบับปรับปรุงปี 2018

ความหลงใหล + ทักษะ มันเกื้อหนุนกันในกรณีของการขาย Ebook Airbnb ความหลงใหลทำให้ผมได้ทักษะสำหรับผลิต Ebook นั่นคือ การเขียนบทความ และการถ่ายทอดความรู้ผ่านตัวหนังสือ ส่วนทักษะการเป็นโฮสต์ Airbnb ทำให้เรามี Content + Know-how ที่จะเติมลงไปใน Information Product ตัวนี้ ส่วนช่องทางการแลกเปลี่ยนระหว่างสินค้ากับเงิน คือ เว็บไซต์ของผมเอง ซึ่งมีค่าเช่าถูกมากปีละ 1,600 บาท ในเว็บไซต์ผมติดตั้งระบบช่วยขาย Ebook อย่าง Gumroad ลงไป เพื่อให้กลายเป็นระบบที่ทำหน้าที่รับชำระเงิน และส่งมอบ Ebook แก่ลูกค้าแบบอัตโนมัติ 

ปัญหา + ตลาด แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่เก่งเรื่องไอที ดังนั้นพวกเขาย่อมมีปัญหาในการเรียนรู้ และใช้งานระบบของ Airbnb ซึ่งความซับซ้อน และต้องใช้เวลากว่าจะลงที่พักบน Airbnb ได้สำเร็จ คุณจะเห็นได้ว่าพวก Information Product อย่างคอร์สเรียนออนไลน์ หรือ Ebook เนื้อหาส่วนใหญ่จะเน้น Beginner มากกว่า Advance เพราะจำนวนคนที่ยังไม่รู้จักนั้นมีเยอะกว่าคนที่รู้ครับ ส่วนตลาด คือ เจ้าของที่พักที่ต้องการสร้างรายได้จากการปล่อยเช่าที่พักให้กับนักท่องเที่ยวทั่วโลกซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ และมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีทุกปี

เมื่อนำทุกอย่างมาใส่ในสมการ ผมได้ธุรกิจขายความรู้ขึ้นมา 1 ตัว โดยมี Ebook เป็นสินค้าที่ขายให้กับผู้ที่สนใจอยากมีรายได้เสริม หรือสร้างความมั่งคังทางการเงินให้กับตัวเองโดยการปล่อยเช่าที่พักบน Airbnb แน่นอนว่าคุณค่าของ Ebook คือ ทุกอย่างจบในหนังสือ 1 เล่ม ประหยัดเวลาที่ต้องไปค้นหาข้อมูล หรือลองผิดลองถูกเอง ที่สำคัญ คือ มันเป็นคุณค่าที่ผู้คนยอมจ่ายเงินให้ครับ ปัจจุบันธุรกิจนี้ยังเป็นธุรกิจที่ทำเงินให้ผมแบบต่อเนื่อง และดำเนินการด้วยเจ้าของธุรกิจเพียงคนเดียวตามแบบฉบับของ The $100 Startup

Case Study: BeNeat เริ่มจากสิ่งที่ผู้คนต้องการ แล้วมาจับกับความหลงใหล + ทักษะ

หากธุรกิจการขาย Ebook บนเว็บไซต์ START IT UP เป็นธุรกิจที่เริ่มต้นจากความหลงใหล แล้วค่อยไปหาความต้องการของลูกค้า ธุรกิจ BeNeat – แม่บ้านออนไลน์ คือ ธุรกิจที่ทำแบบตรงกันข้าม คือ หาความต้องการของผู้คนก่อน แล้วค่อยนำมาจับกับความหลงใหล + ทักษะที่มี

ผมเคยมีบทเรียนจากการปล่อยใจไปตาม Passion นั่นคือธุรกิจสตาร์ทอัพตัวแรกนามว่า Letzwap ซึ่งเป็นความหลงใหลที่ไม่มีคนสนใจ และไม่ทำเงิน ดังนั้นการเริ่มต้นธุรกิจสตาร์ทอัพตัวที่สองนี้ ทำให้ผมต้องปรับมุมมองใหม่ในการทำธุรกิจ คือ 1) เริ่มต้นที่ปัญหา 2) ใช้เงินให้น้อย และ 3) ทดสอบให้ไว

หลายคนอาจจะทราบกันดีว่าธุรกิจสตาร์ทอัพควรเริ่มต้นจากปัญหา เพราะปัญหาจะช่วยให้เราสามารถประเมินขนาดของตลาด (คนที่ประสบปัญหานั้น ๆ) เพื่อตีออกมาเป็นมูลค่าของธุรกิจได้ ว่าธุรกิจที่เรากำลังจะทำนั้นสามารถทำเงินได้กี่บาท ปัญหาที่เหมาะกับธุรกิจสตาร์ทอัพ คือ ปัญหาที่ หนัก ใหญ่ ยาว

  • หนัก คือ หนักหนาสาหัสยังหา Solution ที่ดีในตลาดไม่ได้
  • ใหญ่ คือ เกิดขึ้นกับผู้คนจำนวนมาก (ขนาดของตลาด)
  • ยาว คือ เกิดขึ้นมาอย่าวยาวนาน

ว่ากันตามตรงธุรกิจเทคสตาร์ทอัพอาจไม่เข้าเกณฑ์ของ Christ ที่เน้น Microbusiness โดยผู้ประกอบการเพียงคนเดียว หรือถ้ามีพนักงานก็ไม่เกิน 5 คน แต่การเริ่มต้นธุรกิจสตาร์ทอัพก็ไม่ได้เริ่มจากคน 10 คน แต่เริ่มจากคนกลุ่มเล็ก ๆ เพียงไม่กี่คน และแน่นอนว่าการแก้ปัญหาขนาดใหญ่ คุณจำเป็นต้องมีทีม

ปัญหา + ตลาด: ไอเดียจากหนังสือ The $100 Startup ที่ผมหยิบมาใช้ คือ อะไรคือสิ่งที่ผู้คนต้องการ ผมมองหาสิ่งที่ผู้คนต้องการมาตลอดกว่าจะเจอก็นานพอดูครับ ใน Facebook Group: Airbnb Host Thailand ที่ผมตั้งขึ้นมาเพื่อตอบคำถามคนที่ซื้อ Ebook Airbnb ของผมไป ที่นั่นทำให้ผมพบกับสิ่งที่ผู้คนต้องการ พวกเขามองหาแม่บ้านไปช่วยทำความสะอาดในเวลาที่ต้องการ

คำถามเกี่ยวกับการหาแม่บ้านผุดขึ้นมาทุกวันในโพสต์ของ Airbnb Host Thailand จริง ๆ ก็มีบริการแม่บ้านในตลาดมากมาย แต่คงเป็นเพราะ Nature ของธุรกิจเกิดใหม่ของ Airbnb ที่ทำให้ความต้องการใหม่ ๆ เกิดขึ้นมา และ Solution หรือแนวทางการแก้ไขปัญหาเดิมไม่ตอบโจทย์ มันทำให้ผมหันมาสนใจปัญหานี้แบบจริงจัง เพราะมันคือโอกาสทางธุรกิจยังไงล่ะ

ความหลงใหล + ทักษะ:  อย่างที่บอกไปผมมีแค่ทักษะในการเขียนโปรแกรม และพัฒนาแอพ ผมจึงต้องหาคนมาร่วมทีมที่อยากแก้ปัญหานี้ เพื่อในการช่วยในด้านธุรกิจ การตลาด และการจัดหาผู้ให้บริการ และนี่คือจุดเริ่มต้นของธุรกิจ BeNeat ทีมที่รวมคนที่หลงใหลในตัวธุรกิจ Airbnb อยากสร้างแพลตฟอร์มสักตัวขึ้นมา เพื่อช่วยแก้ปัญหาให้กับผู้คน (และที่สำคัญ คือ มันต้องทำเงินตั้งแต่วันแรก เพราะมันเป็นธุรกิจ)

สิ่งที่เราต้องไม่ลืม คือ การเริ่มต้นธุรกิจด้วยทุนต่ำตามแนวทางของ The $100 Startup ด้วยเงิน 3,000 บาท คือ ค่าใช้จ่ายในการทดสอบไอเดียธุรกิจ (ค่าเช่าโฮสต์ และจดโดเมน) โดยการพัฒนา MVP (Minimum Viable Product) ขึ้นมาและทดสอบกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเป็นระยะเวลา 1 เดือน ทักษะมีส่วนสำคัญอย่างมากที่ช่วยทำให้เงิน 3,000 บาทเป็นไปได้ในการทดสอบไอเดียธุรกิจ เพราะมันเป็นสิ่งที่เราถนัดอยู่แล้ว

หากถามว่าธุรกิจ BeNeat แก้ปัญหาอะไรให้กับผู้คน เราแก้ปัญหาเรื่อง Hassle (ความยุ่งยาก) ในการหาแม่บ้านดี ๆ สักคนไปช่วยโฮสต์ Airbnb ในเวลาที่พวกเขาต้องการ เราแก้ปัญหาให้กับคนกลุ่มเล็ก ๆ ก่อนในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ ส่วนการขยายไปยังกลุ่มผู้อยู่อาศัยทั่วไปพวกเขามอง BeNeat เป็นธุรกิจที่ช่วยให้พวกเขามี Free Time (เวลาว่าง) มากขึ้น ลูกค้าในแต่ละกลุ่มจะมองเห็นคุณค่าที่ธุรกิจส่งมอบให้แตกต่างกัน

ส่งท้าย

ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ถ้าเรามีความรู้ และลงมือทำ ขอบคุณหนังสือ The $100 Startup ของ Christ Guillebeau ที่เปิดโลกทัศน์ให้กับคนไร้ประสบการณ์ขี้กลัวคนหนึ่งที่ไม่เคยทำธุรกิจมาก่อน ผมได้แต่อ่านความสำเร็จของผู้ประกอบการหลายคนจากในหนังสือ แต่ผมนึกไม่ออกเลยว่าถ้าเป็นตัวผมเองที่ต้องเริ่มต้นธุรกิจ ผมควรเริ่มจากตรงไหน

ผมไม่อยากกลับเข้าไปลูปการทำงานประจำ แต่ผมอยากทำตามความหลงใหล และความฝันของผม Christ ชี้ให้เห็นว่าความหลงใหลกับทักษะที่เรามี ถ้าไปตรงกับความสนใจ หรือความต้องการของผู้คนได้ มันคือโอกาสทางธุรกิจ แล้วอะไรคือสิ่งที่ผู้คนต้องการล่ะ ผมหวังว่าคุณคงได้คำตอบแล้วล่ะครับ เพราะหนังสือเล่มนี้เติมแรงบันดาลใจ และเป็นแรงกระตุ้นที่ดีให้กับคนที่คิดจะเริ่มต้นทำธุรกิจครับ

ถ้าใครที่มีงานประจำอยู่แล้ว หนังสือเล่มนี้ให้แนวทางคุณไปต่อยอดธุรกิจในรูปแบบรายได้เสริมได้เช่นเดียวกัน ถ้าเป็น Case ของผม ผมทำ BeNeat แบบ Full-time ส่วน Ebook เป็น Side Hustle ธุรกิจรายได้เสริมแบบ Passive Income ในเล่มมีผู้ประกอบการหลายคนที่ยังทำงานประจำอยู่ แต่ก็มีรายได้เสริมจากงานอดิเรกที่เขารัก ยกตัวอย่างของ Gary Leff ที่ชอบการ Travel Hacking ที่นำเสนอการหาตั๋วเที่ยวบินฟรีจากการนำไมล์สะสมไปแลก

ผมขอคัดเนื้อหาบางส่วนจากหนังสือ Dare to win กล้าพอไหมเป็นนายตัวเอง ของคุณเมษ พิชญพล ซึ่งผมคิดว่าเป็นแรงบันดาลใจที่ดีที่จะส่งต่อให้กับคนที่อยากเป็นนายตัวเองครับ

นาฬิกาทราย
เวลาเราหงายให้ด้านที่มีเม็ดทรายอยู่ด้านบน
ตอนแรก ๆ เม็ดทรายก็ดูเหมือนอย่างเต็มล้น
แต่สุดท้ายจะค่อย ๆ ไหลลงไปด้านล่างจนหมดสิ้น
นั่นคือความมั่นคงของพนักงาน
ทุก ๆ สิ้นเดือนมีรายได้ที่แน่นอน
ปลายปีมีโบนัสก้อนใหญ่ และอาจจะได้ปรับเงินเดือนขึ้นทุก ๆ ปี
แต่ทว่าเมื่ออายุงานที่มากขึ้น
เท่ากับวันเวลาที่เหลือก็น้อยลง
ความมั่นคงที่กล่าวมาจะเหลือเวลาอีกเท่าไหร่
เหมือนเช่นนาฬิกาทรายที่ด้านบนตอนแรกเต็มไปด้วยเม็ดทราย
แล้วค่อยๆไหลลงด้านล่าง สุดท้ายก็ไม่เหลือเม็ดทรายเลยสักเม็ด

ในทางกลับกัน
จะล่างของนาฬิกาก่อนที่เม็ดทรายจะไหลลง
ครั้งแรกอาจดูเหมือนจะเป็นเพียงความว่างเปล่า
ดูอีกทีมันกลับเป็นช่องว่างที่รอการเติมเต็ม
ยิ่งว่างเท่าไหร่
เม็ดทรายจากด้านบนก็จะยิ่งไหลลงมาได้สะดวกเท่านั้น

แต่นั่นคือความมั่นคงของคนทำธุรกิจ
ที่เมื่อแรกเริ่มลงมือทำ
ความมั่นคงนั้นเป็นศูนย์ เพราะเต็มไปด้วยความเสี่ยง
รายได้แต่ละเดือนอาจไม่เท่ากัน มากบ้าง น้อยบ้าง
หรือถึงขนาดติดลบเป็นศูนย์
แต่พอได้ทำนาน ๆ ไป
กลับกลายเป็นความเชี่ยวชาญรอบรู้ในธุรกิจมากขึ้นกว่าเดิม
ความเสี่ยงนั้นจะค่อย ๆ ลดลง
กลายเป็นความมั่งคั่งที่ค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้น

ความแตกต่างอยู่ที่การเริ่มต้นจากศูนย์ไปถึงร้อย
หรือจะให้ชีวิตเราค่อย ๆ ลด จากร้อยถอยไปหาศูนย์
แบบไหนถึงจะเรียกว่าความมั่นคงที่แท้จริง
คำตอบคงอยู่ที่ตัวคุณเองแล้วนะครับ

ขอบคุณสำหรับการติดตามหากถูกใจบทความนี้ อยากให้ช่วยแชร์ให้กับคนที่สนใจด้วยนะครับ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้า สวัสดีครับ

Comments

comments