7 แนวทางเริ่มต้นสตาร์ทอัพแบบงบจำกัดให้ประสบความสำเร็จ
Credit by www.applianceretailer.com.au

สวัสดีปีใหม่ครับ บทความแรกของปี 2016 ว่าด้วยเรื่องของการเริ่มต้นธุรกิจสตาร์ทอัพแบบมีข้อจำกัด โดยเฉพาะในเรื่องของเงินทุน หากใครเคยได้อ่านหนังสือ ยกเครื่องความคิด Rework และ The Lean Startup คุณจะเข้าใจธรรมชาติของธุรกิจสตาร์ทอัพทันทีว่ามันเต็มไปด้วยข้อจำกัดต่าง ๆ มากมาย รวมถึงความไม่แน่นอนด้วย ประเด็นคือทำอย่างไรที่เราจะใช้ข้อจำกัดที่เรามีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

บทความนี้ Martin Zwilling (ผู้เขียน) กล่าวถึงการเริ่มต้นทำธุรกิจของผู้ประกอบการมือใหม่ ที่มักคิดว่าจะต้องมีเงินจำนวนมากมารองรับ แต่อย่างไรก็ตามกว่า 80% ของสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จที่เขาเคยพบเจอนั้น ต่างเริ่มต้นธุรกิจด้วยทุนของตัวเองประมาณ 10,000 เหรียญ ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงในการสตาร์ทธุรกิจได้ดีทีเดียว

การเริ่มต้นธุรกิจใหม่สักตัวโดยมีงบที่จำกัด และไม่มีนายทุนเข้ามาเกี่ยวข้อง ฝรั่งเขาเรียกว่า Bootstrap หรือ Bootstrapping (อย่าได้สับสนกับ Bootstrap ที่ใช้ทำเว็บแบบ Responsive นะครับ) ซึ่งเป็นวิธีเดียวถ้าคุณไม่อยากเสียเวลาหลายเดือนไปกับการเตรียมตัว Pitch ต่อหน้านักลงทุน Bootstrapping ยังมีข้อดีตรงที่คุณไม่ต้องกังวลเรื่องแรงกดดันและความเสี่ยงที่มาจากฝั่งนักลงทุน

Martin Zwilling เคยเป็น Mentor ให้กับสตาร์ทอัพหลายราย ได้เผยแนวทางที่เขาได้เรียนรู้และรวบรวมมาจากผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นใช้แนวทางดังกล่าว เพื่อหลีกเลี่ยงความอึดอัดที่เกิดขึ้นจากการเริ่มต้นทำธุรกิจที่ได้รับเงินทุนจำนวนมากจากนักลงทุนขี้กลัวทั้งหลาย

1. ทำธุรกิจที่คุณรู้จักและหลงรัก

เคล็ดลับที่นำไปสู่ความล้มเหลว คือ การเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่ ซึ่งเป็นธุรกิจที่คุณไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน คุณอยากทำเพียงเพราะเห็นว่าธุรกิจนั้นมีศักยภาพที่ดีน่าลงทุน อย่างไรก็ตามทุกธุรกิจมักมีกฎที่ไม่ได้เขียนไว้เสมอ และการที่คุณขาดความรู้ในธุรกิจนั้น ๆ อย่างลึกซึ้ง จะทำให้คุณมีต้นทุนมหาศาลโดยเฉพาะต้นทุนการเรียนรู้ นอกจากการทำธุรกิจที่คุณรู้จักและหลงรักแล้ว การมี Connection ที่ดีก็ช่วยให้ขั้นตอนการดำเนินธุรกิจหลายอย่างเสร็จสิ้นได้โดยใช้เงินเพียงเล็กน้อย

2. หาทีมที่ยอมทำงานเพื่อเป็นหุ้นส่วนมากกว่าเพื่อเงิน

ใครก็ตามที่คุณดึงมาร่วมทีมด้วย ทุกคนต้องเข้าใจว่าความล้มเหลวของทีม คือ ความล้มเหลวของธุรกิจ มากกว่าคาดหวังเรื่องเงินในภายภาคหน้า การจัดการพนักงานและสัญญาจ้างทั้งยุ่งยากและมีต้นทุนสูง ซึ่งผู้ประกอบการมือใหม่จะจัดการเรื่องเหล่านี้ได้ไม่ดีนัก การให้สมาชิกในทีมเป็นหุ้นส่วน จึงเป็นหลักประกันที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้ทีมยอมร่วมหัวจมท้ายและโฟกัสกับธุรกิจ

3. กำหนดแผนจากงบที่คุณมี แทนที่จะกำหนดจากปรารถนาของคุณเอง

ผู้ประกอบการใด ๆ ก็ตามที่เริ่มต้นธุรกิจแบบไร้แผนจะต้องใช้เงินจำนวนมาก เช่นเดียวกันคนเหล่านั้นจะต้องแบกรับความกดดันที่จะคงความนิยมเอาไว้ตามหน้าสื่อ ทำให้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการเอาใจนักลงทุน ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่ยอมรับว่าการใช้เงินที่มากเกินไปจะทำให้การตัดสินใจแย่ลง และเกิดการควบคุมไม่อยู่

4. อย่าเพิ่งมองหาออฟฟิศจนกว่าคุณจะได้ลูกค้า

ทุกวันนี้การทำสตาร์ทอัพโดยสมาชิกอยู่กันคนละมุมโลกเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว เพราะทุกคนต่างมีสมาร์ทโฟน วิดีโอ และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงช่วยอำนวยความสะดวก ค่าใช้จ่ายสำหรับสำนักงานเป็นต้นทุนที่แพงเอาเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้ออุปกรณ์ การจัดสรรพนักงาน และค่าใช้จ่ายสำหรับเดินทาง ที่ควรทำคือมีเว็บไซต์ เพราะช่วยให้ธุรกิจของคุณดูน่าเชื่อถือ (แม้ไม่มีออฟฟิศ) เทียบเท่ากับคู่แข่งรายใหญ่ได้เช่นกัน

5. ดีลเรื่องค่าธรรมเนียมล่วงหน้าจากพาร์ทเนอร์แทนที่จะขอรับเงินสด

ถ้าวิธีแก้ปัญหาของคุณมีคุณค่าจริง พาร์ทเนอร์ในอนาคตย่อมกระโจนเข้ามาร่วมวงด้วยอยู่แล้ว ดังนั้นอย่าลืมเจรจาเรื่องค่าลิขสิทธิ์หรือค่าธรรมเนียมกันตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยเฉพาะการขอส่วนลด เพราะทั้งเวนเดอร์และพาร์ทเนอร์จะเข้าใจเรื่องกระแสเงินสดที่ธุรกิจเกิดใหม่ของคุณต้องจัดการ ถือซะว่าใช้โอกาสนี้เพื่อฝึกทึกษะการขายของคุณเองตั้งแต่เนิ่น ๆ ไปในตัว

6. ต่อรองการจัดการสินค้าคงคลังกับซัพพลายเออร์ และผู้จัดจำหน่าย

ถ้าคุณขายสินค้า ซัพพลายเออร์ หรือผู้จัดจำหน่ายจะทำหน้าที่ส่งสินค้าที่อยู่ในคลังแทนคุณ แต่ถ้าคุณขายบริการอย่ากล้วที่จะขอบวกค่าบริการเพื่อชดเชยต้นทุนของคุณ การทำธุรกิจคือการต่อรอง แต่ผู้ประกอบการมือใหม่ที่มีเงินมากมักเกรงใจที่จะต่อรองกับคู่ค้า

7. เลือก Business Model ที่เพิ่มประสิทธิภาพแก่กระแสรายได้และเวลาของคุณ

ตัวอย่าง Business Model ยอดนิยม เช่น การเก็บค่าธรรมเนียมสมาชิกรายเดือน และค่าบริการเสริมต่าง ๆ หรือการขายสินค้าครั้งเดียวจบ อีกตัวอย่างหนึ่งคือการสร้างเว็บอีคอมเมิร์ซแทนที่การค้าปลีกแบบดั้งเดิม เพื่อให้ธุรกิจสามารถขายสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมงแก่ลูกค้าจากทั่วทุกมุมโลก

หนึ่งในวิธีที่จะช่วยให้คุณประหยัดเงินและลดความเสี่ยง คือ การใช้ Social Media ซึ่งมีข้อดีคือฟรี และสามารถใช้หยั่งเสียงได้ว่าวิธีการแก้ปัญหาของคุณมีคนสนใจมากน้อยแค่ไหน ก่อนที่คุณจะลงทุนเวลาและทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดในการผลิตสินค้าและบริการ นอกจากนี้ Social Media ยังเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง และราคาไม่แพงสำหรับใช้ทำการตลาดให้กับธุรกิจของคุณได้อีกด้วย

คุณอาจมองเงินเริ่มต้นธุรกิจที่มีจำกัดว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด หรือเป็นสิ่งกระตุ้นช่วยให้คุณทำธุรกิจได้อย่างสร้างสรรค์มากขึ้นก็ได้ การทำสตาร์ทอัพมักเน้นที่ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม แต่คู่แข่งรายใหญ่ก็สามารถที่จะลอกเลียนแบบ Solution ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในตลาดได้ทันที และแทบไม่มีความเสี่ยงเลย ดังนั้นจงให้ข้อจำกัดด้านการเงินเป็นตัวขับเคลื่อนให้คุณมุ่งชนะมากกว่าที่จะมองเป็นจุดอ่อนในการเริ่มต้นธุรกิจครับ

Comments

comments