จากผ้าขี้ริ้ว สู่มหาเศรษฐี Jan Koum ผู้ก่อตั้ง WhatsApp สตาร์ทอัพ แอพแชทชื่อดัง

19 กุมภาพันธ์ 2014 วงการไอทีได้สั่นสะเทือนกันอีกครั้ง หลังจากที่ Facebook ประกาศซื้อกิจการ WhatsApp มาครองด้วยจำนวนเงิน 1.9 หมืนล้านเหรียญ ซึ่งมากกว่าตอนที่พวกเขาซื้อ Instagram ในปี 2012 ถึง 18 เท่า เหตุการณ์นี้ทำให้ทั่วโลกสนใจชายที่ชื่อ Jan Koum ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง WhatsApp ทันที

เรื่องราวของ Jan Koum ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนทั่วโลก จากชีวิตที่จนสุด ๆ กลายมาเป็นมหาเศรษฐีในชั่วข้ามคืน หรือ The Rags to Rich (จากผ้าขี้ริ้ว สู่มหาเศรษฐี) ความไม่สมบูรณ์แบบของชีวิต คือ สิ่งที่ทำให้ชายผู้นี้เข้มแข็ง และฝ่าฟันช่วงยากลำบากมาได้ รวมถึงประสบการณ์ในอดีตที่สะท้อนให้พวกเราเห็นถึงปรัชญาในการทำ WhatsApp ในปัจจุบัน และนี่คือเรื่องราวของ Jan Koum

จากผ้าขี้ริ้ว สู่มหาเศรษฐี Jan Koum ผู้ร่วมก่อตั้ง Whatsapp สตาร์ทอัพ แอพแชทชื่อดังPhoto credit: Too Poor To Succed? How WhatsApp Founder Jan Koum Went From Welfare to Billionaire

ความแร้นแค้นในวัยเด็ก

Jan Koum เด็กหนุ่มเชื้อสายยิว กำเนิดในปี 1976 ที่หมู่บ้านเล็ก ๆ ใกล้เคียฟ (Kiev) เมืองหลวงประเทศยูเครน แม่มีอาชีพเป็นแม่บ้าน ส่วนพ่อเป็นผู้จัดการฝ่ายก่อสร้าง ภายใต้การปกครองของสหภาพโซเวียต ชีวิตในชนบทเต็มไปด้วยความขัดแย้งทางการเมือง และฝูงชนที่ประท้วง

Koum บรรยายถึงสภาพชีวิตในวัยเด็ก ซึ่งโรงเรียนที่เขาเรียนอยู่นั้นไม่มีห้องน้ำ อากาศยูเครนหน้าหนาวติดลบ 20 องศาเซลเซียส พวกเด็กตัวเล็ก ๆ ต้องพากันเดินฝ่าลมหนาวข้ามที่จอดรถเพื่อไปยังห้องน้ำ นอกจากนี้บ้านของเด็กน้อยไม่มีไฟฟ้าใช้ รวมถึงเครื่องทำน้ำอุ่น

พ่อแม่ของ Koum ปฏิเสธการใช้โทรศัพท์ เพราะถูกดักฟังโดยรัฐบาล สิ่งนี้ปลูกฝังเด็กชาย เรื่องความสำคัญของความเป็นส่วนตัว (Privacy) เมื่อเขาเริ่มสร้าง WhatsApp

จนสุด ๆ ในอเมริกา

ความวุ่นวายทางการเมือง และการต่อต้านชาวยิว เป็นเหตุให้หนุ่มน้อยในวัย 16 ปี และแม่ได้อพยพมาที่อเมริกา ณ เมืองเมาน์เทนวิว โดยที่พ่อไม่ได้ตามมาด้วย สองแม่ลูกพักในอพาร์ตขนาด 2 ห้องนอนเล็ก ๆ ที่รัฐบาลจัดสรรให้

เด็กหนุ่มช่วยงานเก็บกวาดในร้านขายของชำ เพื่อแบ่งเบาภาระแม่ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงเด็ก แต่โชคชะตาก็ช่างโหดร้าย เมื่อแม่ของเขาป่วยเป็นโรคมะเร็ง ไม่สามารถทำงานได้ ทั้งคู่ประทังชีพด้วยเบี้ยเลี้ยงจากรัฐบาล

ผู้ก่อตั้ง WhatsApp เล่าย้อนกลับไปว่า “ข้าง ๆ สำนักงานใหญ่ของ WhatsApp คือ สำนักงานเทศบาลที่ปล่อยร้าง ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ ๆ เขาและแม่ไปยืนต่อแถวรับสแตมป์อาหาร ที่รัฐแจกให้แก่ครอบครัวที่ยากจนมากเพื่อนำไปซื้ออาหาร”

ความยากจน คือ แรงผลักดัน

ความยากจน คือ สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มเข้มแข็ง Koum ในวัย 18 ปี ได้ศึกษาเรื่องระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ด้วยตนเอง จากหนังสือคู่มือที่ซื้อมาจากร้านมือสอง

วัย 19 ปี เด็กหนุ่มได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยแซน โฮเซ (San Jose University) ในขณะที่ตอนกลางคืนทำงานให้กับบริษัท Ernst & Young ตำแหน่ง Security Tester ในปี 1997 เมื่อเขาอายุได้ 21 ปี Brian Acton ได้ชักชวนให้เขามาทำงานที่ Yahoo! ในตำแหน่ง Infrastructure Engineer

หลังจากได้งานที่ Yahoo! เพียง 2 อาทิตย์ มี Server ตัวหนึ่งเสีย David Filo หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Yahoo! โทรตามตัว Koum ให้มาช่วยดู Server ตัวนั้น ซึ่งเขาตอบกลับไปว่ากำลังเรียนอยู่ แต่เจ้านายไม่สนกลับสั่งให้เขารีบมาที่ออฟฟิศโดยด่วน เหตุการณ์นี้ทำให้ Koum ตัดสินใจออกจากมหาวิทยาลัยกลางคัน เพื่อทำงานที่ Yahoo! เต็มตัว

เพื่อนซี้นาม Brian Acton

Brian Acton พนักงานคนที่ 44 ของ Yahoo! ดูแลรับผิดชอบเรื่องโฆษณา เขาเติบโตในฟลอริดา และเป็นบัณฑิต Com Science จากรั้วแสตนฟอร์ด Acton เคยลงทุนในธุรกิจดอตคอมยุคเฟื่องฟู แต่ก็สูญเงินไปหลายล้านเหรียญในปี 2000 จากเหตุการณ์ฟองสบู่แตก

จากผ้าขี้ริ้ว สู่มหาเศรษฐี Jan Koum ผู้ร่วมก่อตั้ง Whatsapp สตาร์ทอัพ แอพแชทชื่อดังBrian Acton และ Jan Koum
Photo credit: Exclusive: The Rags-To-Riches Tale Of How Jan Koum Built WhatsApp Into Facebook’s New $19 Billion Baby

Acton และ Koum กลายมาเป็นเพื่อนซี้กัน ทั้งคู่มีสิ่งที่เหมือนกัน คือ เกลียดโฆษณา ข้อเท็จจริงนี้ช่างน่าขัน เพราะพวกเขาเคยช่วยกันสร้าง แพลตฟอร์มการโฆษณาของ Yahoo! ในปี 2006

ปี 2000 แม่ของ Koum จากไปด้วยโรคมะเร็ง ส่วนพ่อเสียชีวิตตั้งแต่ปี 1997 เด็กหนุ่มรู้สึกอ้างว้าง แต่เขาได้เพื่อนซี้คอยประคับประคอง Acton มักชวน Koum ไปที่บ้าน และออกไปเล่นสกี ฟุตบอล และร่วมแข่ง Ultimate Frisbee (กีฬาคล้ายอเมริกันฟุตบอลแต่ใช้จานร่อนแทน) ด้วยกัน

ทั้งคู่ทำงานที่ Yahoo! กว่า 9 ปี และรู้สึกเบื่อหน่ายในช่วง 3 ปีสุดท้าย จึงตัดสินใจลาออกพร้อมกันในเดือนกันยายน 2007 เพื่อพักผ่อน และเดินทางท่องเที่ยวในอเมริกาใต้ รวมถึงลงแข่ง Frisbee

ในช่วงปี 2009 Acton ไปสมัครเข้าทำงานที่ Twitter และ Facebook แต่ก็ถูกปฏิเสธ เขาเคว้งอยู่นานจนกระทั่งมาพบกับ Koum อีกครั้งพร้อมสตาร์ทอัพนาม WhatsApp

กำเนิดสตาร์ทอัพ WhatsApp

มกราคม 2009 Koum ซื้อไอโฟน เขาเห็นการเติบโตของแอพบน App Store และตระหนักว่าแอพจะกลายเป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่สร้างรายได้มหาศาล ดังนั้นเขาจึงแวะไปหา Alex Fishman ชายหนุ่มชาวรัสเซีย

ทั้งคู่คุยกันเรื่องแอพ โดย Koum โชว์หน้าสมุดโทรศัพท์ให้ดู และบอกว่ามันจะเจ๋งมากถ้าเราสามารถโพสต์ Status ข้าง ๆ รายชื่อเหล่านี้ได้ Koum สามารถเขียนโค้ดส่วน Back-end ได้ สิ่งที่เขาต้องการ คือ นักพัฒนาแอพ iPhone ซึ่ง Fishman แนะนำ Solomennikov โปรแกรมเมอร์ชาวรัสเซียที่เขาเจอจากเว็บ RentAcoder.com ให้

WhatsApp คือชื่อที่ Koum เลือกสำหรับแอพตัวนี้ มันฟังคล้ายคำสแลงของอเมริกัน คือ “What’s up” หลังอายุครบ 32 ปีของ Koum ไปได้หนึ่งสัปดาห์ WhatsApp Inc. ก็ถูกจดทะเบียนในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2009

ท้อได้แต่อย่าถอย!!!

ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีแอพ แต่ Koum โหมหลายวันเขียน Back-end เชื่อมกับแอพ เข้ากับเบอร์โทรศัพท์ทุกเบอร์ โดยเฉพาะรหัสประเทศต่าง ๆ จาก Wikipedia และใช้เวลาหลายเดือนไล่อัพเดทข้อมูลในระดับภูมิภาค

WhatsApp ปล่อยครั้งแรกช่วงพฤษภาคม 2009 มันใช้งานตะกุกตะกัก และแอพก็ Crash บ่อย Fishman และเพื่อน ๆ ชาวรัสเซียเป็นคนทดสอบให้ ทั้งสองใช้ร้านอาหาร Tony Roma เป็นสถานที่ทำงาน โดย Fishman หาบั๊กส์ ส่วน Koum แก้ไข

ช่วงเวลานั้น Koum ได้เข้าร่วมแข่งจานร่อนกับ Acton เขาเล่าให้เพื่อนซี้ฟังแบบซังกะตายว่า กำลังยอมแพ้กับแอพตัวนี้ และเริ่มมองหางานใหม่ Acton ถึงกับเอ่ยว่า “นายมันโง่ถ้าจะถอนตัวตั้งแต่ตอนนี้” และบอกอีกว่า “ทำไมไม่ลองไปอีกสักสองสามเดือนล่ะ”

ฟังเสียงจากผู้ใช้ เพราะนั่นคือทางที่เราควรไป

มิถุนายน 2009 Apple ปล่อยฟีเจอร์ Push Notification นักพัฒนาสามารถนำไปใช้แจ้งเตือนผู้ใช้ ขณะไม่ได้เปิดแอพได้ Koum นำฟีเจอร์นี้มาใช้กับ WhatsApp คือ ทุกครั้งที่ผู้ใช้เปลี่ยน Status ข้อความจะเด้งแจ้งเตือนเพื่อน ๆ ที่อยู่ในลิสต์โทรศัพท์

Fishman และเพื่อน ๆ ทดสอบ และบอก Koum ว่า “บางทีมันดูเหมือนกับแอพแชทเลยนะ พวกเราเปลี่ยน Status ว่า เฮ้ เป็นไงบ้าง! สักพักก็มีคนตอบกลับ”

Koum สังเกตเห็นพฤติกรรมของผู้ใช้ และตระหนักว่า WhatsApp เป็นมากกว่าแอพที่ให้คนโพสต์ Status ลงบนสมุดโทรศัพท์ เขากำลังทำแอพแชท (IM) อยู่ ชายหนุ่มเสริมว่า “การที่ผู้คนสามารถส่งข้อความไปหาคนอีกซีกโลกหนึ่งได้ทันที บนอุปกรณ์พกพา เป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก”

ขณะนั้นบริการส่งข้อความฟรีมีเพียง BBM ซึ่งจำกัดแค่ BlackBerry (BB) ด้วยกัน G-Talk ของ Google และ Skype แต่ WhatsApp นั้นแตกต่าง เพราะใช้เพียงเบอร์โทรศัพท์ในการ Login ความแตกต่างนี้มาจากการตระหนักเรื่อง Privacy ในวัยเด็ก ทำให้ WhatsApp ไม่มีการเก็บข้อมูลผู้ใช้

Koum ปล่อย WhatsApp 2.0 ซึ่งรองรับการแชทออกไป และเฝ้าดูผลตอบรับ ปรากฎว่ามีผู้ใช้งานมากถึง 250,000 ราย ชายหนุ่มรีบแจ้นไปหาซี้เก่า Acton ซึ่งตอนนั้นยังว่างงานอยู่

จากผ้าขี้ริ้ว สู่มหาเศรษฐี Jan Koum ผู้ก่อตั้ง WhatsApp สตาร์ทอัพ แอพแชทชื่อดังPhoto credit: Download And Install WhatsApp On iPod touch 4G With Complete IM Capabilities [How To]

จากเพื่อนซี้สู่ผู้ร่วมก่อตั้ง

ทั้งคู่นั่งลงในครัวของ Acton และลองส่งข้อความหากัน Acton เห็นถึงศักยภาพของ WhatsApp ที่เหนือกว่า SMS และ MMS มันมีเอกลักษณ์และเปิดกว้าง ผู้คนสามารถส่งข้อความหากันทั่วโลกได้ฟรี ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตซึ่งไม่มีค่าธรรมเนียม

Red Rock Cafe คือ ที่ทำงานของสองคู่หู ในเดือนตุลาคม 2009 Acton ชวนเพื่อน 5 คน ซึ่งเป็นอดีตพนักงาน Yahoo! มาลงทุนในรอบแรก (Seed Funding) ที่ 250,000 เหรียญ และ Acton กลายมาเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง WhatsApp ทั้งคู่ถือหุ้นกว่า 60 % โดย Koum ถือมากที่สุด เพราะเป็นคนลงมือทำไอเดียนี้ ก่อนที่ Acton จะมาร่วมด้วย

เติบโต และมีรายได้

สองผู้ก่อตั้งทำงานโดยไม่มีรายได้ช่วง 2-3 ปีแรก รายจ่ายหลัก คือ ค่า SMS ที่ส่งไปตรวจสอบ (Verify) ผู้ใช้ พวกเขาใช้บริการของ Click-A-Tell ค่า SMS ในอเมริกาอยู่ที่ 2 เซ็นต์ แต่ในตะวันออกกลางสูงถึง 65 เซ็นต์

ทุกวันนี้ (2014) ค่า SMS พุ่งไปที่ 500,000 เหรียญต่อเดือน ซึ่งไม่สูงไปกว่านี้ แต่ก็มากพอที่จะสูบเงินในบัญชีของ Koum จนเกลี้ยง โชคดีที่ WhatsApp มีรายได้ประมาณ 5,000 เหรียญต่อเดือนในช่วงต้นปี 2010 มากพอที่จะจ่ายค่าต้นทุนเหล่านั้น

ปลายปี 2009 WhatsApp เคยปรับจากฟรีมาเป็นเสียเงิน 0.99 เหรียญ ทำให้ยอดดาวน์โหลดลดลงจากวันละ 10,000 เหลือ 1,000 แต่การเพิ่มฟีเจอร์ส่งรูปได้ ก็ทำให้จำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ไม่เอาโฆษณา

ต้นปี 2011 WhatsApp ติดอันดับ Top 20 ใน App Store ของอเมริกา และสองหนุ่มเริ่มมองหาเงินทุนสำหรับการเติบโต มีนักลงทุนหลายรายให้ความสนใจ โดยพยายามกล่อมให้ WhatsApp ใช้โฆษณาเป็น Business Model ซึ่งสองผู้ก่อตั้งปฏิเสธ เพราะเกลียดโฆษณา ดังนั้นที่โต๊ะทำงานของ Koum จึงมีกระดาษแผ่นหนึ่งแปะไว้ว่า No Ads! No Games! No Gimmicks! 

จากผ้าขี้ริ้ว สู่มหาเศรษฐี Jan Koum ผู้ก่อตั้ง WhatsApp สตาร์ทอัพ แอพแชทชื่อดังPhoto credit: Here’s The Inspirational Note That The WhatsApp CEO Keeps Tacked To His Desk

มีนักลงทุนเพียงรายเดียว คือ Jim Goetz จาก Sequoia ที่เสนอตัวขอเป็นที่ปรึกษาให้เป็นเวลา 8 เดือน เขาเคยเจอสตาร์ทอัพเป็นโหล ที่ทำแอพแชทก็มี Pinger, Tango และ Baluga แต่ WhatsApp คือ ผู้นำ และ Goetz ก็แปลกใจมากที่ธุรกิจมีเงินพอที่จะจ่ายภาษีรายได้ และ นั่นคือครั้งเดียวที่เขาเคยเห็นในชีวิตนักลงทุน

Goetz ให้สัญญาว่าจะไม่โน้มน้าวให้นำโฆษณามาใช้หารายได้ แต่จะช่วยวางแผนในฐานะที่ปรึกษา ท้ายที่สุดสองผู้ก่อตั้งตกลงรับเงิน 8 ล้านเหรียญจาก Sequoia มาสมทบกับเงินทุนก้อนแรก

1.9 หมื่นล้านเหรียญ!!!

กุมภาพันธ์ 2013 WhatsApp มีผู้ใช้งานพร้อมกันประมาณ 200 ล้านคน มีพนักงาน 50 คน และมีการระดมทุนเพิ่มจาก Sequoia จำนวน 50 ล้านเหรียญ ทำให้บริษัทมีมูลค่า 1.5 พันล้านเหรียญ

ธันวาคม 2013 WhatsApp เติบโตจนมีผู้ใช้งานพร้อมกันกว่า 450 ล้านคนต่อเดือน ซึ่งเร็วกว่าบริการ Social Network ทุกตัวในตอนนั้น จำนวนผู้ใช้มหาศาลเข้าตา Mark Zuckerberg ถึงขั้นเข้าซื้อกิจการในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2014 ด้วยเงินจำนวน 1.6 หมื่นล้านเหรียญ พร้อมหุ้นประเภทจำกัดสิทธิ์อีก 3 พันล้านเหรียญ ทำให้ Koum และ Acton กลายเป็นมหาเศรษฐีหน้าใหม่ทันทีจากการถือหุ้น 45% และ 20%

จากผ้าขี้ริ้ว สู่มหาเศรษฐี Jan Koum ผู้ก่อตั้ง WhatsApp สตาร์ทอัพ แอพแชทชื่อดังPhoto credit: How Zuckerberg Is Feeding His Facebook Conglomerate

ตัวเลขที่น่าสนใจ

  • 32 คือ จำนวนภาษาที่ถูกแปลเพื่อใช้งานบน WhatsApp
  • 450 ล้านคน คือ จำนวน Active User แต่ละเดือน
  • 72% ของผู้ใช้ หยิบแอพนี้ขึ้นมาเปิดดูทุกวัน
  • 5 หมื่นล้าน คือ จำนวนการส่งข้อความต่อวัน เฉลี่ยคนละ 1,000 ข้อความต่อเดือน
  • 500 ล้าน คือ จำนวนรูปที่ถูกส่งต่อวัน
  • 0.99 เหรียญ คือ รายได้ที่ WhatsApp ได้จากผู้ใช้แต่ละคน

ข้อคิดดี ๆ สำหรับสตาร์ทอัพจาก Jan Koum

“Focus on simplicity, listen to your customers and iterate if you fail.”

จงเน้นที่ความเรียบง่าย ฟังเสียงจากลูกค้า และทำซ้ำถ้าคุณล้มเหลว

คำพูดของ Koum ข้างต้น แสดงให้เราเห็นข้อเท็จจริงที่ว่า

  • เราคงได้ใช้แอพแชทที่เต็มไปด้วยโฆษณา ซึ่งเน้นเงินมากกว่าประสบการณ์ของผู้ใช้ที่เรียบง่าย หาก Koum ไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่อง Privacy
  • เราอาจได้ใช้เพียงแอพที่โพสต์ Status ลงในสมุดโทรศัพท์ หาก Koum ไม่ฟังเสียงผู้ใช้
  • และเราคงไม่มี WhatsApp ใช้ หาก Koum ยอมถอดใจตั้งแต่แรก

ข้อมูลอ้างอิง

[บทความ] Exclusive: The Rags-To-Riches Tale Of How Jan Koum Built WhatsApp Into Facebook’s New $19 Billion Baby
http://www.forbes.com/sites/parmyolson/2014/02/19/exclusive-inside-story-how-jan-koum-built-WhatsApp-into-facebooks-new-19-billion-baby/

[บทความ] Amazing rags-to-riches story of WhatsApp founder Jan Koum
http://www.rediff.com/business/slide-show/slide-show-1-special-tech-the-amazing-success-story-of-WhatsApps-architect-jan-koum/20140220.htm

[บทความ] How WhatsApp was created ?
http://www.WhatsAppfor.org/how-to/WhatsApp-created/

[บทความ] WhatsApp: The inside story
http://www.wired.co.uk/news/archive/2014-02/19/WhatsApp-exclusive

[บทความ] Try, Try Again: The Incredible Story of WhatsApp’s Tenacious Founders
http://readwrite.com/2014/02/24/try-try-again-the-incredible-story-of-WhatsApps-tenacious-founders

[บทความ] WhatsApp Founders Are Low Key — And Now Very Rich
http://mashable.com/2014/02/19/WhatsApp-founders-jan-koum-brian-acton/

[บทความ] These Are The Two Guys Who Started WhatsApp – They’re Making Millions And They Hate Ads
http://www.2oceansvibe.com/2013/06/24/these-are-the-two-guys-who-started-WhatsApp-theyre-making-millions-and-they-hate-ads/

[บทความ] WhatsApp’s Founder Goes From Food Stamps to Billionaire
http://www.bloomberg.com/news/articles/2014-02-20/WhatsApp-s-founder-goes-from-food-stamps-to-billionaire

[บทความ] These Two Ex-Yahoo!s Are Making Millions – But Turning Down Billions Because They Hate Advertising
http://www.businessinsider.com.au/these-two-ex-yahoos-are-making-millions–but-turning-down-billions-because-they-hate-advertising-2013-6

[บทความ] WhatsApp
https://en.wikipedia.org/wiki/WhatsApp

[บทความ] 10 Amazing facts about WhatsApp
http://www.slideshare.net/ALHERNANDO/WhatsApp-10-amazing-facts-about-it

Comments

comments