Business Model คำนี้เราได้ยินกันบ่อย มันคือวิธีสร้างรายได้ของธุรกิจ ธุรกิจที่เราจะพูดถึงกันในบทความนี้เป็นธุรกิจระดับบิ๊กเนม ได้แก่ Facebook IKEA MasterCard WhatsApp Uber และ Apple AppStore ประเด็น คือ ทำไมธุรกิจเหล่านี้จึงมีมูลค่า และสร้างกำไรได้มหาศาล นั่นก็เพราะพวกเขามี Business Model ที่ทรงพลัง โดยเฉพาะการให้คนอื่นทำงานแทน
ในบทความนี้เรามาดูกันครับว่า Business Model ของธุรกิจดังกล่าวที่มีความแตกต่างกันนั้น มีจุดหนึ่งที่พวกเขามีร่วมกัน คือ การใช้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) ทำงานแทนให้พวกเขาแบบฟรี ๆ นั่นเอง แต่ละธุรกิจจะมีรูปแบบการใช้ฟรีอย่างไรบ้างนั้น เชิญชมกันได้เลย
1. ลูกค้า คือ แรงงานฟรี สำหรับ Facebook และ IKEA
Photo credit: How Facebook’s, IKEA’s, WhatsApp’s, and Uber’s Business Models Get Others to Do the Work and Make Billions
Facebook: Business Model ของ Facebook คือ การให้บริการ Platform ที่ผู้ใช้สามารถแชร์ข้อความ รูปภาพ และข้อมูลต่าง ๆ ได้ แน่นอนว่าตัว Platform เองไม่ใช่สิ่งที่ดึงดูดผู้ใช้ แต่ที่ทุกคนเข้า Facebook ก็เพื่ออัพเดท Content ที่เพื่อน ๆ Post ลงไป
นี่คือความมหัศจรรย์ที่ว่า Facebook ไม่มีต้นทุนในการสร้าง Content เพราะเนื้อหาในเว็บมาจากผู้ใช้ราว 1.4 พันล้านคน ลองนึกดูว่า Facebook ต้องลงทุนเท่าไหร่ ถ้าพวกเขาจะจ้างคนในบริษัทเพื่อผลิต Content เหมือนการทำนิตยสาร แน่นอนว่ามันคงมหาศาลมาก
Photo credit: How Facebook’s, IKEA’s, WhatsApp’s, and Uber’s Business Models Get Others to Do the Work and Make Billions
IKEA: ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ชื่อดัง ลูกค้าของ IKEA เปรียบเสมือนแรงงานฟรี เพราะ ลูกค้าจำนวนมากซื้อชั้นวางหนังสือ โต๊ะ และเฟอร์นิเจอร์ ยัดใส่กล่องแล้วกลับไปประกอบเองที่บ้าน นี่เป็นสิ่งที่หลายคนคาดไม่ถึง และทำให้ IKEA ได้รับความนิยม เพราะผู้คนมักคิดว่าโรงงานนั่นแหละที่ต้องประกอบเฟอร์นิเจอร์มาให้เสร็จสรรพ
เหตุผลที่ลูกค้าเต็มใจที่จะประกอบเฟอร์นิเจอร์เอง เพราะ IKEA มีตัวเลือกที่หลากหลาย มีการจัดส่งที่รวดเร็ว และที่สำคัญ คือ ช่วยให้ลูกค้าประหยัดเงิน
2. ผู้ให้บริการ และผู้ใช้ คือ แรงงานฟรี สำหรับธุรกิจบัตรเครติด เช่น Master Card
Photo credit: How Facebook’s, IKEA’s, WhatsApp’s, and Uber’s Business Models Get Others to Do the Work and Make Billions
MasterCard: บริษัทบัตรเครติดก็ใช้วิธีที่ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทำงานแทน ธุรกิจบัตรเครดิตมีต้นทุนที่ต้องแบกรับ คือ โครงสร้างพื้นฐานสำหรับการทำธุรกรรม ซึ่งมีค่าใช้จ่ายมหาศาล แต่โครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้จะไร้ค่าทันทีถ้าไม่มีร้านค้า และนักช็อปมาช่วยแบกรับต้นทุนแทน สุดท้ายแล้วการช็อปแต่ละครั้ง คือ การให้ผู้อื่นทำงานแทน และสร้างรายได้ให้กับธุรกิจบัตรเครดิตนั่นเอง
3. Platform ที่ให้ผู้อื่นมาเป็นผู้ให้บริการแบบฟรี ๆ อย่าง WhatsApp และ Uber
Photo credit: How Facebook’s, IKEA’s, WhatsApp’s, and Uber’s Business Models Get Others to Do the Work and Make Billions
WhatsApp: มีอยู่ไม่กี่คนที่มองออกว่าอะไรคือกุญแจสำคัญสำหรับ Business Model ของ WhatsApp หลังจากที่ถูก Facebook ซื้อไป สิ่งที่ทำให้ WhatsApp ต่างจากผู้ให้บริการ SMS แบบดั้งเดิม คือ WhatsApp ไม่ต้องมีโครงสร้างพื้นฐานด้านเครือข่ายสำหรับส่งข้อความไปหาผู้ใช้
เมื่อ WhatsApp ถูกซื้อ บริษัทซอฟต์แวร์ขนาดเล็กที่มีพนักงาน 60 คน ให้บริการผู้คนกว่า 400 ล้านคน (ในตอนนี้มีผู้ใช้กว่า 700 ล้านคน) การที่ WhatsApp สามารถขยายขนาด (เพิ่มจำนวนผู้ใช้) ได้ขนาดนี้ เพราะ WhatsApp ใช้อินเทอร์เน็ตซึ่ง “ฟรี” เป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักสำหรับบริการของพวกเขา ในทางกลับกันผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือนั้นมีต้นทุนในการที่จะ Scale แต่สำหรับ WhatsApp ต้นทุนในการ Scale ของพวกเขา คือ ศูนย์
Photo credit: How Facebook’s, IKEA’s, WhatsApp’s, and Uber’s Business Models Get Others to Do the Work and Make Billions
Uber: เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่หลีกเลี่ยงต้นทุนสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน เหมือนกับ WhatsApp Uber ไม่ต้องมีโครงสร้างพื้นฐานด้านเครือข่าย นอกจากนี้ Uber ยังมีรถยนต์ให้บริการ โดยที่ตัวเองไม่ต้องมีต้นทุนในการซื้อรถ หรือให้บริการวิ่งรถ โดยพื้นฐานเจ้าของรถ และผู้ใช้ คือ คนที่ช่วยแบกรับต้นทุนเหล่านี้ให้กับธุรกิจ Uber โฟกัสไปที่การทำ Platform ของพวกเขาให้ดี และทุ่มเงินจำนวนมากในการทำตลาด
4. Platform ที่อนุญาตให้ 3rd Party เข้ามาทำเงินให้ อย่าง Apple AppStore
Photo credit: How Facebook’s, IKEA’s, WhatsApp’s, and Uber’s Business Models Get Others to Do the Work and Make Billions
Apple: อะไรคือสิ่งที่ทำให้ iOS Platform (iPhone และ iPad) ของ Apple นั้นลอกเลียนแบบได้ยาก สิ่งนั้นไม่ใช้เทคโนโลยี หรือแม้แต่ผู้ใช้จำนวนมากที่คลั่งไคล้ Apple แต่คือกองทัพนักพัฒนาแอพบน iOS พูดง่าย ๆ คือ Apple จะมีรายได้ 30% จากค่าธรรมเนียมทุกครั้งที่มีคนซื้อแแอพใน App Store รายได้เหล่านี้มาจากแรงงานฟรี (นักพัฒนา) ที่ผลิตแอพป้อนลง iOS Platform
สรุป
รวยด้วยฟรีคงเป็นคำพูดไม่เกินจริงนักสำหรับ Business Model (บางส่วน) ของธุรกิจอย่าง Facebook, IKEA, WhatsApp, Uber, Master Card และ Apple AppStore อย่าง Facebook ผู้ใช้ผลิต Content ให้ฟรีรวมถึงจ่ายเงินซื้อโฆษณา IKEA ผู้ใช้แบกรับต้นทุนนำเฟอร์นิเจอร์ไปประกอบเอง WhatsApp และ Uber ใช้ Internet ฟรีสำหรับการเป็นโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย โดยเฉพาะ Uber ที่ไม่ต้องมีต้นทุนการจัดหารถมาเสิร์ฟลูกค้า เพราะผู้ใช้ที่สมัครเข้ามานั่นแหละแบกรับต้นทุนส่วนนี้ให้ ส่วน Master Card นั้น ร้านค้าและนักช็อป คือ ผู้ที่แบกรับต้นทุนของธุรกิจให้ และปิดท้ายด้วย AppStore ที่กินส่วนแบ่งรายได้จากนักพัฒนาแอพบน iOS ที่มีจำนวนมหาศาล