แชร์ประสบการณ์ และแนวทางการเขียน Ebook สร้างรายได้แบบ Passive Income

สวัสดีคุณผู้อ่านทุกท่านครับ ห่างหายไปนานสำหรับบทความของ START IT UP ผมมัวแต่ไล่อัด Podcast ของบทความเก่า ๆ ที่เคยตีพิมพ์ไป ขอบคุณที่ยังติดตามกันอยู่นะครับ ครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งความตั้งใจที่ผม Commit ไว้กับตัวเองว่า ถ้าผมทำเงินจาก Ebook ได้ถึงหลักแสนเมื่อไหร่ ผมจะนำความรู้ และประสบการณ์ที่ผมได้รับมาเผยแพร่ให้กับคนที่สนใจ ได้ติดตาม หรือนำไปใช้เป็นแนวทางในการเขียน Ebook ของตนเองดูครับ

บทความนี้เขียนขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ ไม่ได้ต้องการชี้นำว่าคุณจะรวยด้วย Ebook ได้อย่างไร แต่สิ่งที่ผมอยากถ่ายทอด คือ อยากให้ผู้อ่านได้เห็นแนวทาง และวิธีที่ผมใช้ในการศึกษา และลงมือเขียน Ebook ซึ่งเป็นประสบการณ์ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผมได้ลงมือทำ และตีพิมพ์ Ebook ขายบนเว็บไซต์ของผมเอง หากคุณพร้อมแล้วเรามาเริ่มกันครับ

เนื้อหาทั้งหมดแบ่งเป็น 3 Part ใหญ่ดูได้จากสารบัญด้านล่างครับ

Table of Contents

Part 1: ปรับทัศนคติ

Ebook เล่มเดียวไม่สามารถพาคุณไปถึงหลักแสนได้

ใช่ครับ Ebook เล่มเดียวไม่สามารถพาคุณไปถึงหลักแสนได้ มันเป็นเรื่องของขนาดตลาดครับ ถ้าคุณเข้าใจเรื่องขนาดของตลาดคุณจะสามารถคิดถึงยอดขายจากสินค้า หรือบริการของคุณได้ ผมนำหลักการ TAM SAM SOM หรือหลักการที่ธุรกิจใช้ในการประเมินขนาดของตลาดมาให้ผู้อ่านเห็นภาพง่ายขึ้น

แชร์ประสบการณ์ และแนวทางการเขียน Ebook สร้างรายได้แบบ Passive Income

ยกตัวอย่างหนังสืออีบุ๊ค Airbnb ของผมต้องการให้กับคนที่สนใจปล่อยเช่าที่พักบน Airbnb ดังนั้น

  • TAM คือ จำนวนลูกค้าที่เป็นไปได้ทั้งหมด นั่นคือ เจ้าของที่พักปล่อยเช่าจำนวน 1,000,000 คน
  • SAM คือ เจ้าของที่พักสนใจการให้เช่าที่พักผ่านระบบออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ของตัวเอง หรือบน Agoda จำนวน 100,000 คน คิิดจาก 10% ของ TAM
  • SOM คือจำนวนลูกค้าที่เราคิดว่าจะคว้ามาได้ทั้งหมด 1,000 คน หรือ 1% จาก SAM ซึ่งผมประเมินต่ำไว้ก่อน เพราะ Airbnb ค่อนข้างใหม่สำหรับคนหมู่มากในปี 2015

หมายเหตุ อย่าลืมว่า TAM SAM SOM ในแต่ละปีขนาดตลาดมันจะเปลี่ยนไป เพราะคนเริ่มรู้จัก Airbnb มากขึ้น จากที่ตอนแรกจำกัดแค่คนบางกลุ่มที่ติดตามเทคโนโลยี หรืออยู่เมืองนอกมาก่อน (Early Adopter) ดังนั้น 1% ของ SOM ในปี 2016 มันอาจจะกลายเป็น 10,000 คนก็ได้ เพราะคนทั่วไปรู้จัก Airbnb มากขึ้น นั่นทำให้โอกาสขาย Ebook ของเราให้กับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายในอนาคตมีมากขึ้นครับ

จาก TAM SAM SOM ในตัวอย่างถ้าผมขายอีบุ๊คในราคา 300 บาท x 1,000 คน เงินที่ผมจะได้รับ คือ 300,000 บาท แค่ขายเล่มเดียวก็มีเงินหลักแสนแล้ว อย่างไรก็ตาม 1,000 คนคือตัวเลข Maximum ในอุดมคติ แต่ในความเป็นจริงคนซื้อจริง คือ หลักร้อยครับ เพราะเราไม่สามารถการันตีได้ว่าคนที่สนใจทุกคนจะยอมควักกระเป๋าจ่ายเงินซื้อ Ebook เล่มนี้

วิธีการที่จะไปถึงหลักแสน คือ คุณจะต้องออกหลายเล่มครับ และทำการตลาดโดยเฉพาะ Content Marketing เพื่อ Convert คนที่สนใจกลายมาเป็นลูกค้าของคุณ ซึ่งสเน่ห์อย่างหนึ่งของ Ebook คือ มันเป็น Passive Income เช่นเดียวกับ Digital Product อีกหลายตัวที่คุณไม่ต้องสต็อกสินค้า ไม่ต้องเสียค่าจัดส่ง เราสามารถเซ็ตระบบการสั่งซื้อและจัดส่งแบบอัตโนมัติได้ แต่ข้อเสียก็มี คือ ถูกละเมิดลิขสิทธิ์ได้ง่าย ลองเอาข้อดีข้อเสียไปพิจารณาดู แต่ผมคนหนึ่งที่เชื่อว่ามันคุ้มค่าที่จะทำครับ

แชร์ประสบการณ์ และแนวทางการเขียน Ebook สร้างรายได้แบบ Passive Income

ปัจจุบันผมออกอีบุ๊คมาทั้งหมด 3 เล่ม นั่นคือ Airbnb Entrepreneur: ผู้ประกอบการ Airbnb มือใหม่ สร้างรายได้จากการให้เช่าที่พัก โดยออกมาตั้งแต่ปี 2016, 2017 และ 2018 ยอดขายรวม 316 เล่ม รายได้ 3,334.33 USD ประมาณ 104,244.49 บาท เป็นยอดการสั่งซื้อผ่านบัตรเครดิตบนแพลตฟอร์ม Gumroad เท่านั้น ไม่รวมยอดการซื้อด้วยวิธีการโอนเงิน เพราะผมไม่ได้เก็บข้อมูลไว้ครับ

แต่ถ้ามองย้อนกลับไป ผมคิดเหมือนกับคนทั่วไปครับ ว่าการมีหนังสือสักเล่มเป็นของตัวเองนั้นเป็นเรื่องยากมาก เพราะเราไม่ใช่คนมีชื่อเสียง แบบพี่ตูนบอดี้แสลม หรือพี่นิ้วกลม ที่จู่ ๆ จะไปติดต่อสนพ. แล้วเขาจะตีพิมพ์หนังสือให้เรา แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นคือ ไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรดี หรือ เขียนแล้วจะขายได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ คนเขียนเรื่องที่เราสนใจเยอะแยะ แถมเขียนดีกว่าเราอีกต่างหาก

คิดแค่นี้ผมก็หมดกำลังใจแล้วครับ เราต่างคุ้นชินกับการไปซื้อหนังสือในร้าน ซึ่งเป็นหนังสือสำหรับตลาด Mass ที่สนพ.ชอบอยู่แล้ว เรื่องไหนขายดี และสามารถขายให้กับคนหมู่มากได้ เขาก็ตีพิมพ์หนังสือเล่มนั้นออกมากขาย แทบไม่ต้องกลัวว่าจะขายไม่ออก หรือไม่คุ้มกับการลงทุน

อย่างไรก็ตามต้องขอขอบคุณอาจารย์ทุกท่านที่เป็นแบบอย่างที่ดี และแสดงให้ผมเห็นถึงความเป็นไปได้ในการออกหนังสือของตัวเองเพื่อขาย

  • คุณพอล CEOBlog เป็นตัวอย่างที่ดีและจับต้องได้จริง โดยการออก Ebook มาขายให้คนไทยอ่านด้วยกันเองหลายเล่ม แถมยังเผยแพร่วิชาความรู้เกี่ยวกับเทคนิคการเขียน Ebook โดยสรุปแนวทางจากหนังสือ APE: Author, Publisher, Entrepreneur | How to Publish a Book ของ Guy Kawasaki มาเป็นภาษาไทย ผสมกับประสบการณ์ของตนเองมาให้คนที่สนใจได้นำไปปรับใช้กัน ซึ่งผมเป็นหนึ่งในนั้น
  • Pat Flynn กับเว็บ Green Exam Academy ในตำนาน Ebook ของเขาช่วยผู้คนในการเตรียมตัวสอบ LEED AP ชายคนนี้ทำให้ผมรู้ว่าคนนั้นเรามีของ (ความรู้) อยู่ในตัว และรอวันที่จะนำมันออกมาแปลงเป็นคุณค่า เพื่อส่งมอบให้กับผู้คน และสร้างรายได้ให้กับเจ้าของความรู้
  • Nick Loper กับคอร์สออนไลน์ Kindle Launch Plan: Publish and Market an Amazon Bestseller สอนให้ผมรู้ว่าการเขียน Ebook สำคัญคือการกำหนด Outline ถ้าทำได้ถือว่าสำเร็จไปเกินครึ่ง เพราะเราจะเห็นภาพรวมทั้งหมด ลงไปลุยกับเนื้อหาที่วางไว้ได้อย่างมีแบบแผน รวมถึงการทำ Challange ว่าแต่ละวันเราจะต้องเขียนเนื้อหาบทไหนให้สำเร็จ

จุดเริ่มต้นของผม

หากคุณเคยอ่านบทความ “CEOBlog แรงบันดาลใจในการเริ่มต้นเขียนบล็อก START IT UP และทำ Information Product” หรือฟัง Podcast: EP 11 – CEOBlog แรงบันดาลใจในการเริ่มต้นเขียนบล็อก START IT UP คุณจะรู้ว่าผมเคยซื้อ Ebook จากคุณพอลไปหลายเล่ม ผมสนใจแนวทางที่คุณพอลสอน คือ การเป็นบล็อกเกอร์สายคอนเทนต์คุณภาพ และต่อยอดไปสู่การสร้าง Information Product ขายอย่าง Ebook หนังสือเสียง หรือคอร์สออนไลน์

นั่นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมเริ่มลงมือเขียนบล็อก START IT UP ขึ้นมา โดยการเขียนคอนเทนต์ที่เป็นประโยชน์ และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนในเรื่องการทำธุรกิจสตาร์ทอัพ แต่ในเรื่องของรายได้ผมยังไม่แน่ใจว่าเรื่องที่ผมเขียนมันจะแปลงมาเป็น Ebook ขายได้อย่างไร เพราะผมเขียนเรื่องราวของสตาร์ทอัพ และผู้ประกอบการออนไลน์ ที่ผู้คนสามารถหาอ่านได้ฟรีบนอินเทอร์เน็ตอยู่แล้ว

อย่างไรก็ดีผมได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อ The $100 Startup หรือชื่อภาษาไทย ใช้เงินน้อยกว่าแต่รวยก่อน : The $100 Startup หนังสือเล่มนี้ชี้ทางสว่างให้กับผมว่าผู้คนต้องการอะไร และความรู้หรือทักษะที่เรามีอยู่นั้นสามารถขายได้หรือไม่ ที่สำคัญ คือ เค้าสอนให้ผมรู้จักคำว่า “คุณค่า” value means helping people หรือการช่วยเหลือผู้คน ดังนั้นไม่ว่าเราจะทำธุรกิจอะไรก็ตามแต่สินค้า หรือบริการของเรา ต้องช่วยให้ชีวิตของผู้คนดีขึ้น หรือช่วยแก้ปัญหาที่พวกเขาประสบพบเจอให้ทุเลาลงได้

คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าความรู้ หรือทักษะของคุณมีคนต้องการ

แชร์ประสบการณ์ และแนวทางการเขียน Ebook สร้างรายได้แบบ Passive Income

 

สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากหนังสือ The $100 Startup คือ การรู้ว่าผู้คนต้องการอะไร ในหนังสือเล่มนี้มีบอกถึงสิ่งที่ผู้คนต้องการมากขึ้น (More) และน้อยลง (Less)

More Less
Love (ความรัก) Stress (ความเครียด)
Money (เงินหรือความมั่งคั่ง) Conflict (ความขัดแย้ง)
Acceptance (การยอมรับ) Hassle (ความรีบเร่ง)
Free Time (เวลาว่าง) Uncertainty (ความไม่แน่นอน)

 

สิ่งที่ผู้คนต้องการมากขึ้น ได้แก่

  1. ความรัก เราจะเห็นคอร์สหรือหนังสือพวกเทคนิคการจีบสาว หรือการใช้ชีวิตคู่อย่างไรให้มีความสุข
  2. เงินหรือความมั่งคั่ง เช่น การสอนเล่นหุ้น การลงทุน การออกมาเป็นนายตัวเอง ชี้ช่องทางรวยด้วยวิธีต่าง ๆ
  3. การยอมรับ เช่น การทำงานในองค์กรให้หัวหน้า หรือลูกน้องยอม การพูดในที่สาธารณะให้น่าฟัง ดึงดูดผู้คน
  4. เวลาว่าง เช่น การมีเวลาไปท่องเที่ยว หรือทำสิ่งที่รักมากขึ้น เราจะเห็นธุรกิจพวกบริการต่าง ๆ เช่น มีคนมาทำความสะอาดให้ คนรับส่งของแทน หรือแชทบอทที่ช่วยตอบรับลูกค้าแทน เป็นต้น

สิ่งที่ผู้คนต้องการน้อยลง ได้แก่

  1. ความเครียด เช่น ธุรกิจภาพยนตร์ เพลง และสิ่งบันเทิง ฟิตเนต จิตแพทย์
  2. ความขัดแย้ง เช่น หนังสือแนวปรับความเข้าใจต่าง ๆ เพื่อลดความขัดแย้งในที่ทำงาน ครอบครับ หรือชีวิตคู่
  3. ความรีบเร่ง ใคร ๆ ก็อยากใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ ไม่ต้องตื่นแต่เช้ามาฝ่ารถติดไปทำงาน เช่น พวกคอนโดตามแนวรถไฟฟ้า ร้านกาแฟดริปแบบนั่งชิว
  4. ความไม่แน่นอน ก็พวกธุรกิจประกันต่าง ๆ

ในช่วงนั้นปี 2015 ผมได้มีโอกาสช่วยที่บ้านเริ่มต้นธุรกิจ Blue Elephant Guesthouse และได้นำที่พักไปปล่อยเช่าบน Airbnb และ Airbnb นี่เองที่ช่วยให้ผมได้ลูกค้าชาวต่างชาติอย่างรวดเร็ว ก่อนที่งานช้างจ.สุรินทร์กำลังจะจัดขึ้น

ช่วงนั้นผมได้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับสตาร์ทอัพ Airbnb และเผยแพร่บทความเกี่ยวกับการปล่อยเช่าที่พักบน Airbnb ไปประมาณ 3-4 บทความ ผมรู้ได้ทันทีว่า Airbnb มัน คือ แพลตฟอร์มที่จะช่วยทำเงินให้กับใครก็ตามที่มีห้องว่างในยุคอินเทอร์เน็ตได้ ซึ่งมันตรงกับข้อที่ 2 ของสิ่งที่ผู้คนต้องการมากขึ้น นั่นคือเรื่องของ เงินและความมั่งคั่ง เพราะใคร ๆ ก็อยากมีรายได้มากขึ้นครับ

แชร์ประสบการณ์ และแนวทางการเขียน Ebook สร้างรายได้แบบ Passive Income

ตอนนี้ผมได้เป้าหมายที่ชัดเจนมากแล้วครับว่า ผมจะเขียน Ebook เกี่ยวกับอะไร ผมจึงลองหาข้อมูลพิ่มเติมว่ามีใครออกหนังสือเกี่ยวกับ Airbnb แล้วหรือยัง แน่นอนครับในประเทศไทยยังไม่มีคนเขียนหนังสือเกี่ยวกับ Airbnb แต่ในต่างประเทศบน Amazon นี้มีหลายเล่มแล้ว ผมคิดในใจว่าผมจะเป็นคนแรกนี่แหละที่ตีพิมพ์ Ebook Airbnb เล่มแรกของไทยขึ้นมา

คุณค่าของ Ebook อยู่ตรงไหนทำไมผู้คนถึงยอมจ่าย

หลายคนอาจคิดว่าในเมื่อข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตฟรี ๆ ก็มีอยู่มากมาย แล้วมีเหตุผลใดใยฉันต้องซื้อ Ebook จากคุณด้วยล่ะ สำหรับคนที่พยายามค้นหาข้อมูล และเจอวิธีการต่าง ๆ ด้วยตนเองทำจนประสบความสำเร็จก็มี แต่ก็มีอีกหลายคนที่ไม่เป็นเช่นนั้น

ข้อคิดที่ผมได้จากการอ่านเรื่องราวของ Pat Flynn คือ คนต้องการตัวช่วยที่สามารถแก้ปัญหาให้จบได้ในที่เดียว แทนที่จะต้องมานั่งเสียเวลาเป็นอาทิตย์ในการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ที่กระจัดกระจายบนอินเทอร์เน็ต คุณค่าของ Ebook คือ คนอ่านเล่มเดียวจบ แล้วเอาไปใช้ได้เลยทันที เพราะผู้เขียนได้รวบรวมข้อมูลที่จำเป็นทั้งหมดแทนคุณผู้อ่านแล้วนั่นเอง

นอกจากนี้หากคุณทำตัวเป็นแหล่งข้อมูลชั้นดี ผู้คนที่กำลังพยายามค้นหาข้อมูลนั่นแหละจะกลายมาเป็นลูกค้าของคุณในการขาย Ebook ครับ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการทำ Content Marketing โดยอาศัยบล็อก ซึ่งเดี๋ยวผมจะให้รายละเอียดในหัวข้อต่อ ๆ ไป

ความรู้มีวันล้าสมัย คุณไม่จำเป็นต้องเขียนเป็นคนแรกก็ขายได้

จากประสบการณ์การออก Ebook ทั้งหมด 3 เล่มของผม ผมจะบอกคุณว่า คุณไม่จำเป็นต้องเป็นคนแรกในการเขียนหนังสือเรื่องนั้น ๆ คุณก็ยังมีโอกาสที่จะมีลูกค้าได้ ทำไมรู้มั้ยครับ เพราะ “ความรู้ หรือข้อมูลมันมีวันล้าสมัย” ผมมองว่านี่เป็นโอกาสของคุณครับ

แน่นอนว่าความรู้ที่มีอยู่ในวันนี้ พรุ่งนี้มันมีโอกาสที่จะใช้ไม่ได้ผล ผมยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณไปซื้อหนังสือเทคนิคการยิงโฆษณาบน Facebook ในปี 2017 ซึ่งติด Bestseller ในปีนั้น แน่นอนว่าคุณไม่สามารถเอาเทคนิคเหล่านั้นมาใช้ได้กับปี 2019 หรือต่อให้ใช้ได้ก็ไม่เต็มประสิทธิภาพ เพราะ Facebook มีการปรับเปลี่ยนอัลกอริทึม ฟีเจอร์ และเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งชื่อและตำแหน่งเมนูที่หนังสือปี 2017 สอนให้คุณคลิกตาม มันอาจจะไม่ปรากฏในเว็บ Facebook เวอร์ชันปัจจุบันแล้วก็ได้ครับ

อีกเคสหนึ่ง ตอนที่ผมจะไปเที่ยวไต้หวัน ผมไปที่ร้านหนังสือ และมองหาเล่มที่อัพเดทล่าสุด เพราะถ้าซื้อเล่มปีเก่า ๆ ไปผู้เขียนจะแนะนำให้คุณไปทำวีซ่าก่อน แต่เดี๋ยวนี้ไปเที่ยวไต้หวันไม่ต้องขอวีซ่าแล้ว และข้อมูลปัจจุบันสำคัญมาก โดยเฉพาะเรื่องการเดินทาง เช่น รถบัสบางสายอาจยกเลิกการให้บริการไปแล้วก็มีครับ

Airbnb เช่นเดียวกับเคส Facebook ครับ คือ มีการปรับเปลี่ยนหน้าตาเว็บไซต์ ฟีเจอร์ และขั้นตอนการใช้งานอยู่เป็นประจำ ทำให้คนที่เคยซื้อ Ebook ผมเล่มปี 2017 พอเอามาใช้ในปี 2018 ก็มีเนื้อหาบางส่วนที่ใช้การไม่ได้แล้ว แต่ด้วยความที่ยังมีคนซื้ออยู่ทำให้ผมรู้สึกแย่มาก ๆ เพราะผมรู้ว่าซื้อไปแล้วก็ใช้งานได้ไม่เต็มที่ ดังนั้นสิ่งที่ผมทำ คือ การ Revise หรือปรับปรุงเนื้อหาให้เป็นปัจจุบัน วิธีนี้ช่วยให้ผมยังขาย Ebook Airbnb ได้เรื่อยมา 3 ปีติดต่อกันครับ

ตรงนี้สะท้อนให้เห็นข้อเท็จจริงอีกว่า หนังสือเป็นเล่มที่ตีพิมพ์ในท้องตลาดกว่าจะมาปรับปรุงเนื้อหา แล้วให้สำนักพิมพ์ตีพิมพ์ออกมาใหม่ก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาหลายเดือน บางครั้งก็ไม่คุ้มที่จะทำ เพราะต้องเขียนใหม่เกือบทั้งหมด ซึ่งมันต่างจากอีบุ๊คที่เราสามารถอัพเดทเนื้อหา และปล่อยออกไปได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้คนได้รับข้อมูลที่เป็นปัจจุบันมากที่สุดครับ

การเขียนบล็อกมันต่อยอดมาสู่การเขียน Ebook ได้อย่างไร

แชร์ประสบการณ์ และแนวทางการเขียน Ebook สร้างรายได้แบบ Passive Income
credit: sagishrieber.com

ตอนที่ผมไปลงเรียนคอร์สเขียน Ebook ของ Nick Loper บน Udemy ซึ่ง Nick ชี้ให้เห็นแนวทางที่หลากหลายในการเขียน Ebook หนึ่งในนั้น คือ การเขียนบล็อกครับ

Nick ชี้ให้เห็นว่าถ้าคุณเขียนบล็อกอยู่แล้วมันง่ายมาก ๆ ที่คุณจะต่อยอดมาสู่การเป็น Ebook เพราะว่าคุณสามารถเอา Blog Post หรือบทความที่คุณเคยตีพิมพ์อยู่บนบล็อกมารวบรวม และจัด Format ให้อยู่ในรูปแบบหนังสือ

ตรงนี้ผมนึกย้อนไปถึง Pat Flynn บล็อกเกอร์ชื่อดังที่ทำรายได้จากการขาย Ebook เพื่อใช้สำหรับสอบ LEED AP ใครไม่รู้จัก Pat Flynn ไปฟังเรื่องราวของผู้ชายคนนี้ได้ที่ START IT UP Podcast: EP 12 – Pat Flynn สถาปนิกตกอับสู่ผู้ประกอบการออนไลน์รายได้กว่า 60 ล้านบาท (ถ้าคุณมีโอกาส ผมแนะนำให้ฟังครับ)

แชร์ประสบการณ์ และแนวทางการเขียน Ebook สร้างรายได้แบบ Passive Income
credit: smartpassiveincome.com

Pat เคยเขียนบล็อกที่ชื่อ Green Exam Academy (GEA) เพื่อใช้สำหรับทบทวนเนื้อหาที่เขาต้องใช้สอบ LEED AP หรือสถาปัตย์รักโลก ออกแบบอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเขาเอาไปใช้ในการเลื่อนตำแหน่งเป็น Job Captaion และขึ้นเงินเดือนในสายอาชีพสถาปนิก ปัจจุบันเขาลาออกแล้วมาเป็นบล็อกเกอร์เต็มตัวทำงานจาก Information Product และความรู้ใน GEA ก็ได้ถูกนำมาแพ็คเป็น Ebook ที่ขายดีแบบสุด ๆ ให้กับผู้คนที่สนใจอยากสอบผ่าน LEED AP

ตัวอย่างที่ดังสุด ๆ ของเมืองไทย คือ บล็อกลงทุนแมน ปัจจุบันเปลี่ยนมาใช้ชื่อว่า Blockdit ลงทุนแมนออกหนังสือเป็นว่าเล่นเลยครับ จากบทความที่เจ้าของเขียนไว้ในบล็อกแทบทุกวัน แล้วก็คัดเลือกบทความเหล่านั้นมาตีพิมพ์เป็นหนังสือมากถึง 8 เล่มด้วยกัน

ตรงนี้คุณพอเห็นแนวทางการจากเก็บเล็กผสมน้อยจนกลายเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่แล้วใช่มั้ยครับ แน่นอนว่าการเขียนบล็อกเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่คุณใช้ฝึกทักษะการถ่ายทอดความรู้ผ่านตัวอักษร แต่อย่างไรก็ตามบทความจากบล็อกเพียงอย่างเดียวไม่สามารถช่วยให้คุณจบเล่มได้อย่างสมบูรณ์ คุณต้องหาข้อมูลต่าง ๆ เพิ่มเติมด้วย (ในเรื่องที่คุณสนใจ)

วิธีที่ผมใช้ คือ การเสาะหาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือ Airbnb เกือบ 10 เล่มบน Amazon ผมไล่ดูสารบัญว่าหนังสือแต่ละเล่มให้ความรู้อะไรบ้างที่น่าสนใจ เล่มไหนที่เนื้อหาน่าสนใจผมจะซื้อไว้ เพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูลเติมเต็มในส่วนที่ผมตกหล่น หรือคาดไม่ถึง เพื่อทำให้เล่มของผมให้สมบูรณ์มากขึ้น

แชร์ประสบการณ์ และแนวทางการเขียน Ebook สร้างรายได้แบบ Passive Incomeภาพด้านบนเป็นคลังหนังสือใน Kindle เกี่ยวกับ Airbnb ทั้งหมดที่ผมใช้ในการเขียน Ebook แน่นอนว่าเล่มล่าสุดอย่าง Make Money On Airbnb: How To Quickly And Easily Earn $2,500 A Month From Your Home โดย Sally Miller ที่ออกในปี 2018 ก็ถูกนำมาใช้ปรับเนื้อหาเติมเข้าไปใน Ebook เล่มล่าสุดของผมด้วย

โดยสรุป คือ การที่คุณมีเป้าหมายใหญ่เป็นสิ่งที่ดี แต่การที่คุณจะทุ่มพลังทั้งหมดเพื่อมันได้สำเร็จในทีเดียวเป็นสิ่งที่ยาก ใช้พลังมาก และบางทีคุณอาจจะท้อไปก่อน ดังนั้นวิธีการ คือ การหั่นเป้าหมายใหญ่ออกมาเป็นเป้าหมายเล็ก ๆ แบบที่ลงทุนแมนใช้ คือ การตีพิมพ์บทความไปทีละบทความ ก่อนที่จะนำบทความเหล่านั้นมาจัดรวมกลุ่มกันกลายเป็นหนังสือ 1 เล่มในที่สุด การทำแบบนี้คุณจะรู้สึกสนุกไปกับความก้าวหน้า และจดจ่อกับสิ่งที่ทำได้ดี

แชร์ประสบการณ์ และแนวทางการเขียน Ebook สร้างรายได้แบบ Passive Income

ข้อดีของการมีบล็อกเป็นฐานสำหรับการเขียน และขาย Ebook

ตอนนี้คุณเริ่มเห็นข้อดีของการมีบล็อกเป็นของตัวเองแล้วใช่มั้ยครับ ว่ามันช่วยให้การตีพิมพ์ Ebook ของคุณมีความเป็นไปได้มากขึ้น ข้อดีของบล็อกที่ช่วยเกื้อหนุนทั้งในการเขียน และการขาย Ebook มีดังนี้

  • การเขียนบล็อกเป็นการฝึกเขียนเล่าเรื่อง อธิบายถึงสิ่งที่คุณสนใจ
  • สิ่งที่คุณสนใจ จะมีคนสนใจกับคุณด้วยหรือเปล่า ก็ใช้บล็อกนี่ล่ะครับเป็นตัวทดสอบ วัดความสนใจของผู้คนที่มีต่อเรื่องที่คุณเชี่ยวชาญ หรือหลงใหล โดยดูจากจำนวนผู้คนที่เข้ามาอ่านเนื้อหาในบล็อกของคุณจากพวก Google Analytics
  • บล็อกเป็นคลังความรู้ คลังข้อมูลที่คุณสามารถนำไปใช้อ้างอิง หรือส่งมอบต่อให้กับคนอื่นได้ เช่น เวลาที่มีคนมาถามเรื่องการรับเงินจาก Airbnb ผมคงไม่สามารถไปไล่ดู Comment หรือโพสต์จากคนบน Facebook ได้ เพราะข้อมูลมันไหลตลอดเวลา ยากแก่การค้นหา สิ่งที่ผมทำ คือ ผมจะส่งลิงค์บทความที่ผมเคยเขียนให้คน ๆ นั้นครับ
  • ใครที่เคยยิงโฆษณาบน Facebook ก็น่าจะรู้ดีครับว่า Facebook จะเป็นคนพิจารณาโฆษณาของคุณว่าจะผ่านหรือไม่ผ่าน แต่ บล็อก คือ บ้านของคุณเอง คุณมีสิทธิ์ทุกอย่างในการตัดสินใจ เกี่ยวกับเนื้อหาบนบล็อกของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการตีพิมพ์บทความ การทำการตลาด การโฆษณา หรือเสนอขายสินค้าบนบล็อกของคุณเอง
  • การสร้างเนื้อหาคุณภาพดี ช่วยให้บล็อกหรือเว็บไซต์ของคุณติดอันดับผลการค้นหาที่ดีบน Google เพราะบล็อกมีเครื่องมือช่วยการทำ SEO
  • การมีบล็อก หรือเว็บไซต์ของตนเอง สามารถนำไปใช้ทำการตลาดบน Social Media ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่นการติดตั้ง Facebook Pixels เพื่อใช้ทำ Remarketing
  • สุดท้ายบทความที่ตีพิมพ์ไปแต่ละบทความ สามารถนำมารวมเล่มตีพิมพ์เป็นหนังสือ หรือ Ebook ได้

การผสมผสานแพลตฟอร์มอื่น ๆ เพื่อขยายฐานคนที่สนใจ Ebook ของคุณ

ขอเสริมว่าบล็อกไม่ใช่ช่องทางเดียวในการเผยแพร่ความเชี่ยวชาญของคุณ คุณสามารถถ่ายทอดความรู้ของคุณไปยังแพลตฟอร์มอื่น ๆ ได้ด้วยเช่น การเขียนโพสต์ลง Facebook การทำ Podcast หรือ การทำวิดีโอบน Youtube

แต่สำหรับผมบล็อก คือ แพลตฟอร์มหลักในการถ่ายทอดความรู้ และขายสินค้า ส่วนแพลตฟอร์มอื่นนั้นเปรียบเสมือนโทรโข่งที่ช่วยขยายอาณาเขตให้คนที่สนใจเข้าถึงบล็อกของผมมากขึ้น เช่น การนำบทความไปโพสต์ลง Facebook และ Twitter การทำ Podcast โดยนำเรื่องราวจากบล็อกมาพูด และการทำคลิปวิดีโอบน Youtube ให้ความรู้บ้าง

สุดท้ายมัน คือ การสร้างฐานการรับรู้ให้มากขึ้น นั่นหมายถึงเพิ่มจำนวนคนที่สนใจในความรู้ของเรา และโอกาสที่พวกเขาจะกลายมาเป็นลูกค้าของเรามีมากขึ้นนั่นเองครับ

การสร้าง Trust หรือความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นสิ่งสำคัญ

หลักสำคัญก่อนที่จะขาย Information Product คือ การสร้าง Trust ให้เกิดขึ้นระหว่างคุณกับผู้อ่านที่ติดตามผลงานของคุณ การให้ความรู้ฟรี และมีประโยชน์ สำหรับผมมัน คือ แนวทางที่ดีที่สุดที่ช่วยผู้คนได้มาสัมผัสกับความรู้ และแนวทางการถ่ายทอดความรู้ที่เรามี

ผมตระหนักได้ว่า ไม่มีใครรู้จักเราหรอก จนกว่าเราจะทำบางสิ่งบางอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อผู้คน และส่งมันออกไปให้พวกเขาสามารถจดจำเราได้ ดังนั้นถ้าผมลุยเขียน Ebook ตั้งแต่แรกแล้วเอาไปวางขาย โดยที่ไม่เคยมีการให้ความรู้ หรือให้คนมาสัมผัสกับบทความของผมก่อน มันก็ยากที่คนคนนั้นจะซื้อเพียงเพราะเขาไม่รู้จักเรา

ดังนั้นหลักการที่ดี คือ การเริ่มต้นการสร้าง Content เพื่อให้ความรู้แก่ผู้คน แล้วต่อยอดด้วยการนำความรู้นั้นมาแพ็คขายให้อยู่ในรูปของ Ebook หนังสือเสียง หรือคอร์สออนไลน์


Part 2: แนวทางการเริ่มต้นเขียนอีบุ๊ค

อุปกรณ์ และซอฟต์แวร์

อุปกรณ์ในการเขียน Ebook ที่คุณต้องมี คือ คอมพิวเตอร์จะเป็นคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (PC) หรือโน๊ตบุ๊คก็ได้ครับ แต่ผมแนะนำโน๊ตบุ๊คสักเครื่อง เพราะคล่องตัว และสะดวกในการพกพา เผื่อใช้ตอนที่คุณออกไปเขียนงานนอกสถานที่ เช่น ตามร้านกาแฟ ห้องสมุด หรือ Co-Working Space

แชร์ประสบการณ์ และแนวทางการเขียน Ebook สร้างรายได้แบบ Passive Income

ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการเขียน คือ Microsoft Word ที่ผมแนะนำ Word เพราะมันใช้งานง่าย โดยเฉพาะการจัดเรียงเนื้อหาภายในเล่มทั้งหมดที่เราสามารถ Navigate ไปแก้ไขเนื้อหาต่าง ๆ ในเล่มได้ง่าย โดยใช้ Format ที่ Word มีมาให้ เช่น Heading 1, Heading 2, Title, Subtitle, Normal ใครนึกไม่ออกดูภาพด้านล่างประกอบครับ

แชร์ประสบการณ์ และแนวทางการเขียน Ebook สร้างรายได้แบบ Passive Incomeการเตรียมเรื่องสำหรับเขียน Ebook

อย่างที่ผมเกริ่นไปใน Part 1 เกี่ยวกับหนังสือ The $100 Startup คุณพอได้แนวทางคร่าว ๆ ว่าผู้คนต้องการอะไร จากนั้นจะเป็นการจับคู่ระหว่างความรู้ หรือทักษะของคุณ รวมไปถึงความหลงใหล (ที่ทำเงิน) ที่คุณมี เข้ากับความต้องการของผู้คน คุณต้องศึกษาว่าผู้คนมี ปัญหาอะไร และความรู้ของเราสามารถช่วยแก้ปัญหาให้กับพวกเขาได้ นั่นคือ Solution ที่กลายมาเป็น Information Product และที่สำคัญควรพิจารณาถึงขนาดของตลาด TAM SAM SOM ด้วย เช่น

หากคุณเป็นฟรีแลนซ์ และรู้จักแนวทางการหารายได้จากการรับงานบน Fastwork และแพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น Fiverr รวมถึงเทคนิคการ Present ที่ทำให้ลูกค้าเลือกคุณ คุณสามารถเขียน Ebook เกี่ยวกับแนวทางการทำเงินจากการรับงานฟรีแลนซ์บน Platform เหล่านั้นได้ เพราะตลาดคนทำฟรีแลนซ์เป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่

หรือหากคุณมีความรู้จากการส่งออกสินค้าไปขายยังประเทศจีนบนแพลตฟอร์ม Alibaba คุณก็สามารถเขียนเป็น Ebook เพื่อแสดงให้คนที่สนใจเห็นถึงแนวทาง และวิธีการสร้างรายได้ของคุณ หรือแม้กระทั่งการทำงานในสายการตลาดคุณอาจมีเทคนิคการเขียน Content ที่ดึงดูดผู้คน หรือการทำ Content Marketing รวมไปถึง Social Media Marketing ความรู้ที่คุณมีจากงานประจำก็สามารถนำมาผลิตเป็นอีบุ๊คได้

จากตัวอย่างข้างต้น ผมแนะนำให้คุณลองไปหาไอเดียบน Amazon ดู คุณจะพบว่าในหลายเรื่องที่คุณสนใจนั้น มีคนเอามาเขียนไปหนังสือแบบจริงจัง และวางขายอยู่บน Amazon แทบทั้งนั้น

ข้อควรระวัง! ที่ผมเน้นย้ำเรื่องความหลงใหล (ที่ทำเงิน) เพราะเราไม่สามารถทำเงินได้จากทุกเรื่องที่เราหลงใหล เช่น ผมเป็นคนชอบสะสมหนังสือ แต่การสะสมหนังสือไม่สามารถเอาไปสร้างเป็น Information Product ได้

หากคุณเจอเรื่องที่คุณต้องการเขียนเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนถัดไป คือ การวางโครงเรื่อง หรือการทำ Outline ซึ่งผมถือว่าสำคัญมาก เพราะการมี Outline เปรียบเสมือนพิมพ์เขียวที่บอกคุณว่า Ebook ทั้งเล่มของคุณมีเนื้อหาอะไรบ้าง

การวาง Outline ของ Ebook (สำคัญมาก)

สิ่งที่ผมนึกไม่ถึงมาก่อนเกี่ยวกับการเขียน Ebook คือ การวางโครงเรื่อง ผมต้องขอบคุณ Nick Loper ในไอเดียเรื่องการเขียน Outline ซึ่ง Nick แนะนำว่า Outline จะ 1) ช่วยให้คุณเห็นภาพรวมทั้งหมดของ Ebook เล่มนี้ และ 2) ช่วยให้คุณโฟกัสจดจ่อกับเนื้อหาที่คุณต้องเขียนในแต่ละหัวข้อ

แชร์ประสบการณ์ และแนวทางการเขียน Ebook สร้างรายได้แบบ Passive Income

จากรูปตัวอย่างด้านบน ตัว Outline จะมีรายละเอียดมากกว่าสารบัญ หากใครเนื้อหาที่มีหัวข้อหลักหัวข้อรองที่ซ้อนกันเยอะแบบของผม ผมแนะนำให้คุณใช้เพียงแค่หัวข้อหลัก กับหัวข้อรองในการทำสารบัญ

การที่คุณจะรู้ว่าหนังสือของคุณควรมีหัวข้ออะไรบ้าง คุณต้องกลั่นออกมา หรือดูตัวอย่างจากนักเขียนคนอื่น ซึ่งผมแนะนำให้คุณหาไอเดียจาก Amazon ผมใช้วิธีเพื่อศึกษาข้อมูลที่ผมยังขาดไปในเล่ม อย่างไรก็ตามผมไม่แนะนำให้คุณลอกเนื้อหามาใช้ แต่คุณควรทำความเข้าใจเนื้อหา และเขียนขึ้นมาใหม่เป็นสไตล์การเล่าเรื่องของคุณเอง

ผมจะบอกคุณว่าการมี Outline ช่วยให้คุณสำเร็จไปครึ่งทางแล้วในการเขียน Ebook เพราะคุณรู้ว่าหนังสือทั้งเล่มคุณจะต้องเขียนอะไรลงไปบ้าง สิ่งที่เหลือ คือ การเดินหน้าเติมข้อมูลในแต่ละหัวข้อที่เราวางไว้ให้สมบูรณ์ แล้วเราจะทำอย่างไรเพื่อพิชิตหนังสือทั้งเล่มได้ล่ะ โปรดอ่านหัวข้อถัดไป

การใช้ข้อจำกัดเพื่อวางแผนเขียน Ebook ให้เสร็จ

คุณควรรู้จักการใช้ข้อจำกัดอะไรบางอย่าง เพื่อสร้างสถาณการณ์ไฟลนก้นให้กับคุณ ในการเร่งทำอะไรบางอย่างให้เสร็จโดยเร็ว ไม่ล่าช้าเป็นดินพอกหางหมู ต้องขอบคุณ Nick Loper อีกครั้งที่สอนให้ผมรู้จักการทำ Challenge โดยเอาข้อจำกัดทางด้านเวลามาบีบ เพื่อให้ผมเขียน Ebook ได้ทันตามที่กำหนด ลองดูตัวอย่างที่ผมใช้บีบให้ผมเขียน Ebook เล่มที่ 3 ให้เสร็จทันเวลา ซึ่งผม Challenge ตัวเองโดยใช้เวลา 1 เดือนในการปรับปรุงเนื้อหาทั้งหมด

แชร์ประสบการณ์ และแนวทางการเขียน Ebook สร้างรายได้แบบ Passive Income

สำหรับ Ebook เล่มแรกผมใช้เวลาประมาณ 3 เดือนในการเขียน + อัดวิดีโอการสอนใช้งาน Airbnb โดยเช็ตตัว X Day Challenge แบบที่ Nick ได้แนะนำ โดยการทำเป็น Excel เอาหัวข้อจาก Outline มาลิสต์ไว้ พร้อมลงวันที่ว่าในแต่ละหัวข้อผมจะต้องเขียนวันไหนบ้าง พอเขียนเสร็จผมก็ให้รางวัลตัวเองเป็นสถานะ Completed แถบสีเขียว เพื่อให้เราได้เห็น Progress ของงานว่าคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว ซึ่งมันรู้สึกดีทุกครั้งที่เห็นความก้าวหน้า แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม

การให้ Bonus พิเศษกับผู้ซื้อ Ebook

อีกหนึ่งเทคนิคที่ Nick แนะนำ คือ การแถมโบนัสพิเศษให้กับผู้ซื้อ Ebook เทคนิคนี้เขาได้มาจากการขายหนังสือบน Amazon ที่ปกติเราสามารถดูตัวอย่างหนังสือได้ ในตัวอย่างจะมีหน้าโบนัสอยู่หน้าแรก ๆ ที่บอกว่าคุณจะได้รับอะไรพิเศษเพิ่มบ้างสำหรับการสั่งซื้อหนังสือเล่มนี้

แชร์ประสบการณ์ และแนวทางการเขียน Ebook สร้างรายได้แบบ Passive Income

ในรูปด้านบน Nick แถม Side Hustle อีกเล่มให้คนที่ซื้อเล่มที่ผมเปิดอยู่นี้ไปอ่านแบบฟรี ๆ นั่นหมายถึงซื้อ 1 แถม 1 มันทำให้การซื้อ Ebook เล่มนี้ดูคุ้มค่าขึ้นมาทันที ซึ่งโบนัสที่คุณแถมไปใน Ebook นั้นอาจเป็น Audiobook หรือ Podcast ที่คุณเคยอัดไว้ บทความที่คุยเคยตีพิมพ์ไปสามารถนำมารวมเล่มเป็น Mini-Ebook แถมก็ได้ หรือจะเป็นวิดีโอสอน รวมไปถึงส่วนลดในการซื้อคอร์สเรียนออนไลน์ หรือสินค้าตัวอื่นของคุณก็ได้

สำหรับโบนัส Ebook เล่มแรกของผม คือ การแถมวิดีโอการใช้งาน Airbnb มูลค่า 399 บาทฟรี ซึ่งราคาหนังสือเล่มแรกที่ขาย คือ 320 บาท อย่างไรก็ตามในเล่มปี 2017 และ 2018 ผมได้ยกเลิกตัววิดีโอนี้ไป เหตุผลเพราะ Airbnb มีการปรับเปลี่ยนเว็บไซต์ที่เร็วมาก ซึ่งการอัดและตัดต่อวิดีโอเป็นงานที่ต้องใช้เวลามาก ผมเลยเปลี่ยนมาใช้การ Capture รูปอธิบายการใช้งาน Airbnb แทน เพราะสามารถทำได้รวดเร็ว

การออกแบบหน้าปก Ebook

หลังจากที่คุณเขียนเนื้อหา Ebook และเตรียมส่วนของโบนัสเสร็จ งานถัดมา คือ การออกแบบหน้าปก ความสำคัญของหน้าปก คือ มันเป็นหน้าเป็นตาให้กับหนังสือของคุณ แม้มีคนบอกว่าซื้อหนังสืออย่าตัดสินแค่หน้าปก แต่หน้าปก คือ สิ่งแรกที่ผู้คนได้เห็นเมื่อ Ebook ของคุณออกไปอวดโฉมบนโลกออนไลน์

ถ้าเป็น 2-3 ปีก่อนผมจะแนะนำให้คุณไปจ้างฟรีแลนซ์ในการออกแบบปกหนังสือ แล้วมาสร้างปกแบบ 3 มิติที่ myecovermaker.com อย่างไรก็ตามต้องขอขอบคุณ Guy Kawasaki ที่สร้างธุรกิจสตาร์ทอัพที่ชื่อว่า Canva ขึ้นมา canva.com ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยในการออกแบบ และจัดวางกราฟิก

แชร์ประสบการณ์ และแนวทางการเขียน Ebook สร้างรายได้แบบ Passive Income

Ebook Airbnb เล่มล่าสุดปี 2018 ผมใช้ Canva ในการออกแบบปกหนังสือ โดยการเลือก Template เป็น Book Cover จากนั้นก็หาภาพประกอบจาก Unsplash.com ซึ่งนำมาใช้ได้ฟรีในเชิงพาณิชย์ มาจัดวางใน Template ให้ดูสวยงาม พร้อมทั้งใส่ชื่อหนังสือ และชื่อผู้แต่งก็เป็นอันเสร็จครับ คุณสามารถดาวน์โหลดไฟล์รูปจาก Canva มาใช้งานได้ทันที

หลังจากได้รูปหน้าปกมาแล้ว ให้คุณนำรูปหน้าปกไปใส่ไว้ในหน้าแรกในไฟล์ Word ก่อนที่จะแปลงเป็น PDF อย่าลืมตรวจสอบเลขหน้าจริง กับเลขหน้าในสารบัญว่าตรงกันหรือไม่ รวมถึงการตรวจสอบคำผิด ซึ่งผมใช้วิธีปริ้นกระดาษออกมาทั้งเล่ม แล้วไปนั่งอ่านหาคำผิด หรือคุณอาจลองให้คนใกล้ตัว เช่น เพื่อน แฟน หรือคนในครอบครัวช่วยตรวจสอบคำผิดอีกรอบก็ได้ครับ ถือเป็นการ Re-check ไปในตัว

วิธีลดความเสี่ยงก่อนวางขาย Ebook

หลายคนน่าจะทราบกันว่า ผมเคยล้มเหลวกับการทำสตาร์ทอัพตัวแรก Letzwap มาแล้ว ดังนั้นผมจึงต้องหาวิธีช่วยลดความเสี่ยง พูดง่าย ๆ คือ เขียน Ebook มาแล้วจะมีคนซื้อหรือไม่ ตอนนั้นผมเขียนไปเกินครึ่งเล่มแล้ว

วิธีที่ผมใช้ทดสอบตลาด (Market Validation) คือ การหยั่งเสียงกับสมาชิกภายในเพจ START IT UP ว่าถ้าผมจะออก Ebook เกี่ยวกับวิธีเริ่มต้นธุรกิจให้เช่าที่พักบน Airbnb พวกเขาอยากซื้อหรือไม่ ถ้าอยากซื้อก็ขอให้ Comment ไว้ที่ใต้โพสต์ พร้อมฝากอีเมล์สำหรับการติดต่อกลับเมื่อผมเขียน Ebook เสร็จแล้ว

และก็มีคนมาลงชื่อ รวมถึงฝากอีเมล์สำหรับติดต่อกลับไว้จริงครับ วิธีนี้ช่วยให้ผมเห็นความเป็นไปได้ว่าอย่างน้อยก็มีคนสนใจ และต้องการซื้อในสิ่งที่เราทำ มันทำให้เรามีแรงที่จะเขียน Ebook ต่อไปจนจบเล่มครับ

อย่างไรก็ตามหากคุณยังไม่มีฐานแฟน หรือผู้ติดตามเนื้อหาความรู้ของคุณ ผมแนะนำให้ลองเข้าไปคลุกคลีกับกลุ่มออนไลน์ต่าง ๆ เช่น Facebook Group ซึ่งในกลุ่มแน่นอนว่าย่อมมีคนที่มีปัญหาอยู่ และความรู้ของคุณจะสามารถช่วยพวกเขาในการแก้ปัญหาได้ โดยการให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์กับคนในกลุ่ม เพื่อสร้างชื่อเสียง และการยอมรับ

ข้อแนะนำจากผมอีกอย่าง คือ แทนที่คุณจะคิดว่า “เราจะทำเงินจากการให้ความรู้ หรือเขียนบล็อกได้อย่างไร” ให้คุณเปลี่ยนคำถามเป็น

“ทำอย่างไรที่เราจะสามารถขยายฐานแฟนได้มากขึ้น ซึ่งผู้คนเหล่านั้นรักงานที่เราทำ และสุดท้ายคือตัดสินใจซื้อของจากเรา”

หลังจากที่ Ebook ของคุณเสร็จสมบูรณ์ ขั้นตอนต่อมา คือ การพลิกบทบาทจากนักเขียนไปเป็นผู้ประกอบการครับ คุณกำลังจะได้ขายสินค้าที่คุณทำมาให้กับผู้คน เรามาติดตาม Part สุดท้ายกันครับสำหรับแนวทางการขาย Ebook ที่ผมใช้


Part 3: แนวทางการขาย Ebook สไตล์ START IT UP

แชร์ประสบการณ์ และแนวทางการเขียน Ebook สร้างรายได้แบบ Passive Income

ใครที่ลงมือเขียน Ebook จนเสร็จ ผมขอแสดงความยินดีด้วยครับ การเขียนหนังสือเล่มแรกของตนเองได้สำเร็จ คุณจะต้องใช้พลังใจ และวินัยอย่างมากในการพิชิตหนังสือ 1 เล่ม หรือใครที่ยังไม่เริ่มเขียนคุณสามารถดูแนวทางการขาย Ebook เพื่อให้เข้าใจภาพรวมในฝั่งของผู้ประกอบการก่อนได้ครับ

ก่อนที่จะไปขาย Ebook ถ้าถามว่าผมเคยขายของอะไรมาก่อนหรือไม่ ผมตอบเลยว่า “ไม่” เพราะผมไม่เคยทำธุรกิจมาก่อน ผมเคยมีประสบการณ์โดนโทรมาขายประกัน ซึ่งหลายคนคงโดนเหมือนผมแหละ การเสนอขายแบบ Hard Sell ให้กับคนที่ไม่รู้จักมาก่อน ถ้าให้ผมทำผมทำไม่ได้หรอก ผมรู้สึกอึดอัดมาก ๆ เวลาที่มีคนมาเสนอขายอะไรประเภทนี้ และต้องรีบตอบปฏิเสธไปอย่างรวดเร็ว

สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้ตอนที่เริ่มทำ Airbnb คือ ลูกค้าคือเพื่อน พวกเขาเป็นมิตรที่ต้องการความช่วยเหลือจากคุณไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่พัก เรื่องเดินทาง การเที่ยวในละแวกที่คุณอยู่ สิ่งที่คุณต้องทำคือใส่ใจ และช่วยเหลือพวกเขา แม้บางเรื่องจะเป็นเรื่องเล็กน้อยในมุมมองของเราก็ตาม

หลักการขายที่ดีในความคิดของผม คือ รู้ว่าเราขายอะไร ขายใคร และเราสร้างความไว้วางใจแก่พวกเขาแล้วหรือยัง โดยเฉพาะความไว้วางใจที่ผมถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะทำให้คนที่ไม่รู้จักคุณมาก่อน เกิดความไว้ใจและตัดสินใจซื้อสิ่งที่คุณทำได้ไม่ยาก

การตั้งราคา Ebook ขาย

แชร์ประสบการณ์ และแนวทางการเขียน Ebook สร้างรายได้แบบ Passive Income

การตั้งราคาเป็นเรื่องยากเรื่องหนึ่งเลย ตอนผมจะปล่อย Ebook เล่มแรกออกไป ผมกลัวว่าการตั้งราคาที่ 320 บาทต่อเล่ม อาจทำให้ไม่มีคนกล้าซื้อ ผมกลัวว่าคนจะเอา Ebook ไปเปรียบเทียบกับราคาหนังสือเล่มจริงที่มีอยู่ในท้องตลาด และมองว่ามันแพงไป

แต่หากพิจารณาดี ๆ คุณจะเห็นว่าหนังสือที่ขายตามร้านหนังสือเป็นหนังสือ Mass ที่ผลิตออกมาจำนวนมาก เพื่อให้สินค้าเข้าถึงตลาดได้มาก และยิ่งผลิตมากราคาต่อหน่วยก็ยิ่งถูกลงตามหลัก Economy of scale ส่วน Ebook ที่เราเห็นขายบน Amazon ราคา 0.99 หรือ 2.99 เหรียญ เป็นราคาที่ถูกก็จริง แต่จำนวนคนที่พร้อมซื้อ คือ ทั่วโลกหลายล้านคน พูดง่าย ๆ คือ ต่อให้ราคาถูกแต่ก็สามารถคาดหวังยอดขายจำนวนมากได้จากฐานลูกค้าขนาดมหึมาของ Amazon ที่มีอยู่ทั่วโลก

ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดราคามีหลายอย่าง เช่น ต้นทุนในการผลิตผลงาน สภาพเศรษฐกิจ (อัตราเงินเฟ้อ) และชื่อเสียงของคุณเอง หากคุณคาดหวังเรื่องยอดขาย เช่น ตั้งเป้าไว้ที่ 1,000,000 บาท คุณต้องย้อนกลับไปดู TAM SAM SOM ใน Part 1 เพื่อดูว่า SOM ทั้งหมดของคุณเป็นเท่าใด เช่น ถ้า SOM มี 1,000 คน 1,000,000 / 1,000 = 1,000 บาท/เล่ม อย่างไรก็ตามคุณต้องพิจารณาตามความเป็นจริงด้วยว่า Ebook ราคา 1,000 บาทจะมีคนยอมซื้อถึง 1,000 คนตามเป้าหรือไม่

สิ่งที่ผมอยากแนะนำคือ การกำหนดราคาโดยพิจารณาจาก คุณค่าที่ลูกค้าได้รับ จาก Ebook ว่ามันช่วยแก้ปัญหาให้กับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ดีแค่ไหน และราคานั้นเป็นราคาที่ลูกค้ารู้สึกว่าคุ้มค่าที่จะจ่ายหรือเปล่า

Ebook Airbnb ของผมเน้นแนวทางช่วยให้คนเห็นโอกาสทำเงิน หรือมีรายได้เสริมจากที่พักของตนเอง ดังนั้นราคา Ebook 320 บาท (เล่มแรก) สามารถช่วยให้ลูกค้าคนหนึ่งสามารถไปเริ่มต้นธุรกิจปล่อยเช่าที่พักได้คืนแรก คืนละ 400 – 1,000 บาทก็ถือว่าคุ้มค่าเกินราคาของ Ebook เล่มนี้ไปแล้ว เพราะผมมองว่ามันเป็นการลงทุนในความรู้เพื่อปูทางไปสู่การทำเงินที่สูงกว่าเงินที่พวกเขาได้ลงทุนไป และจะยิ่งคุ้มไปอีกจากกลยุทธ์การแถมโบนัสที่ผมได้กล่าวไปใน Part 2 ทำให้คนรู้สึกว่า Ebook เล่มนี้คุ้มเกินราคาตัดสินใจซื้อได้ไม่ยากครับ

ทำไมผมไม่ขาย Ebook บน Amazon

หัวข้อนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วน ๆ ครับ คือ ผมไม่เคยคิดจะเขียน Ebook ขายบน Amazon ด้วยเหตุผล คือ มีปัจจัยหลายอย่างที่ผมไม่สามารถควบคุมได้ โดยเฉพาะเรื่องของเวลา ภาษา และการทำตลาด คือ ถ้าเขียนหนังสือภาษาไทยขึ้นไปขายมีความเสี่ยงขายยาก ต้องเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น เพราะขนาดของคนซื้อต่างกันหลายเท่า

การเขียนหนังสือขายบน Amazon ที่ผมเคยไปส่องพวกคอร์สเรียนออนไลน์ คือ เขาใช้วิธีการเขียนเล่มไทยออกมาก่อนจากนั้นส่งให้นักแปล แปลไทยเป็นอังกฤษ แล้วค่อยเอาไปวางขาย ผมไม่แน่ใจว่านักแปลสามารถถ่ายทอดสิ่งที่เราต้องการสื่อไปถึงผู้อ่านได้มากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าเราแปลเองก็ต้องใช้เวลา และพลังมากจนอาจถอดใจไปก่อน

แน่นอนว่าต้นทุนที่เราต้องจ่าย คือ ค่าแปล + การตรวจสอบไวยากรณ์ให้ถูกต้อง ฝรั่งค่อนข้างซีเรียสกับการสะกดคำและ Grammar ค่าจ้างผมคิดว่าน่าจะหลักหมื่นแน่ (ขึ้นกับจำนวนหน้าที่จ้างแปล) นอกจากต้นทุนค่าจ้าง เรายังมีต้นทุนด้านเวลาครับ สำหรับ Ebook ภาษาไทย เราอาจปิดเล่มได้ภายใน 1-3 เดือน (แล้วแต่ความขยันของแต่ละคน) แต่สำหรับภาษาอังกฤษยังไงก็ต้องเข้าสู่ Process การแปล และการตรวจ Grammar ซึ่งกินเวลาเพิ่มขึ้นไปอีก

อย่างที่ผมบอกว่าผมไม่มีความรู้เกี่ยวกับระยะเวลาที่ใช้แปล และตรวจ Grammar สมมติว่าใช้เวลาเพิ่มอีก 3 เดือน หนังสือเล่มเดียวมันอาจกินเวลาเราไป 6 เดือน มันทำให้ผมไม่กล้าเสี่ยงในสิ่งที่ผมไม่รู้

นอกจากเรื่องต้นทุนแล้ว ยังมีเรื่องยอดขายครับ สำหรับผมมันดูเหมือนการเสี่ยงดวงมาก ๆ เพราะไม่รู้ว่าหนังสือเราจะขายดี หรือไม่ดี คู่แข่งเยอะแค่ไหน ขายราคาเท่าไหร่ ทั้งหมดต้องเทสครับ พูดง่าย ๆ คือเราต้องลองผิดลองถูกในเรื่องของการปั้นยอดขาย นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องการทำตลาดกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนต่างชาติอีกนะครับ

แต่ผมเชื่อว่ามีคนไทยหลายคนที่ประสบความสำเร็จในการตีพิมพ์ Ebook ขายบน Amazon ในการสร้างรายได้มหาศาลบนแพลตฟอร์มนี้ เพียงแต่มันไม่ใช่แนวทางของผม ณ ตอนนี้เท่านั้นเอง

สุดท้ายสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากพวกธุรกิจสตาร์ทอัพ คือ ความเร็วครับ ยิ่งเทสเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะเราต้องการฟีดแบ็คของสิ่งที่เรากำลังทำว่าเวิร์กหรือไม่ ถ้าเวิร์กก็ลุยต่อ ถ้าไม่เวิร์กก็ปรับ หรือจะพับโครงการก็ได้ เพราะต้นทุนที่แพงที่สุด คือ เวลา และค่าเสียโอกาสครับ

ทำไมขาย Ebook บนเว็บไซต์ตัวเองจึงดีที่สุด

 

ในไทยมีแพลตฟอร์มที่ช่วยให้คุณขาย Ebook อยู่หลายเจ้าไม่ว่าจะเป็น Ookbee, eBooks.in.th, Mebmarket แต่จากประสบการณ์ของผมการขาย Ebook บนเว็บไซต์ หรือบล็อกของตัวเองนั้นให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจมากที่สุด สำหรับการขายผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ผมมองเป็นช่องทางรองลงมา

ในปัจจุบัน (ปี 2019) การขาย Ebook บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่ว่ามาผมมองว่าคล้ายกับการเสี่ยงโชค คือ ต้องลุ้นให้ใครสักคนเข้าเว็บไซต์เหล่านั้น ค้นหาเจอ Ebook ของเราให้เจอ และกดสั่งซื้อ ในฝั่งแพลตฟอร์มยิ่งมียอด Ebook วางขายยิ่งเยอะยิ่งดีครับ แต่พวกเขากลับไม่มีกลไก หรืออัลกอริทึมที่ช่วยให้ Ebook เล่มใหม่ ๆ ได้รับการโปรโมท หรือแนะนำให้กับผู้ที่สนใจ อย่างที่ Amazon หรือ Youtube ทำ คือ ระบบรู้จักความชื่นชอบของผู้ใช้ (Personalization) และนำเสนอสินค้าหรือ Content ที่คาดว่าผู้ใช้คนนั้น ๆ น่าจะสนใจให้

อย่างแพลตฟอร์ม Ookbee ผมต้องบอกว่านานมากกว่าจะขายได้สักเล่มครับ ปีหนึ่งยอดขายของผมไม่ถึง 10 เล่ม ต่างจากการขายบนเว็บไซต์ผมเองที่เดือนแรกก็ขายได้เกิน 10 เล่มแล้ว อย่างที่เราทราบกันดีว่าปัจจุบันทีมงาน Ookbee หันไปเอาดีกับแพลตฟอร์ม Joylada แทน เพราะมันทำเงินได้มากกว่า ประกอบกับแนวโน้มการซื้อ Ebook อาจไม่ได้เติบโตมากแบบก้าวกระโดดเหมือนช่วงแรก เกิดอะไรขึ้น!!

หากคุณมองดี ๆ แนวทางการซื้อหนังสือของผู้คนโดยเฉพาะหนังสือเล่มก็ยังคงถูกผลักดันอยู่ ผ่านทางเว็บไซต์ของสำนักพิมพ์เอง หรือเว็บไซต์ทางเลือกชื่อดังอย่าง Readery.co ที่ปลุกกระแสการขายหนังสือเล่มได้ดีมากจากการทำ Content Marketing ที่ดี การออกแบบเว็บไซต์ที่เรียบง่าย การแนะนำหนังสือที่น่าติดตาม ประกอบกับการสั่งซื้อที่ง่าย และการจัดส่งที่รวดเร็ว มันก็ไม่ยากที่เวลานึกถึงการซื้อหนังสือ คนมักจะนึกถึง Readery ก่อนแพลตฟอร์มอื่น ๆ ที่ผมกล่าวไป

ดังนั้นถ้าเราเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบัน คุณจะเข้าใจว่าทำไมแพลตฟอร์มข้างต้นจึงไม่ดึงดูดลูกค้าเท่าที่ควร ซึ่งมันมีผลต่อโอกาสที่คนจะมาเห็น และซื้อ Ebook ของเราครับ สิ่งที่คุณต้องทำ คือ ไม่ยึดติดกับแพลตฟอร์มที่ช่วยขาย Ebook เหล่านั้น แต่เป็นการเข้าใจลูกค้าเป้าหมายของคุณว่า

“คนไม่ได้มองหาหนังสือ แต่พวกเขามองหาแนวทางการแก้ปัญหา”

สิ่งที่ผมได้จากการเก็บ Stats ของผู้เข้าชมเว็บไซต์ START IT UP คือ คีย์เวิร์ดการค้นหา ของคนที่เข้ามาในเว็บ พวกเขาอยากรู้วิธีการปล่อยเช่าที่พักบน Airbnb และก็มีข้อสงสัยเต็มไปหมด ซึ่งบล็อกของผม คือ ที่ที่ทำให้พวกเขาได้คำตอบ

อย่างที่ผมแนะนำไปใน Part 1 ข้อดีของการมีบล็อก คือ มันช่วยเรื่อง SEO ให้คนค้นหาเราเจอได้ง่ายขึ้น เมื่อพวกเขาได้อ่านบทความ หรือความรู้ที่เผยแพร่ฟรีไป การตัดสินใจซื้อ Ebook ก็เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น เพราะบทความฟรีเหล่านั้นเป็นตัวสร้าง Trust ให้เกิดขึ้นทางฝั่งลูกค้า ก่อนที่พวกเขาจะรู้ว่ามี Ebook ขายเสียอีก 

แนวทางการสร้าง Sales Page เพื่อขาย Ebook

ก่อนที่จะวางขาย Ebook ผมต้องตั้งสติให้ดีก่อนว่าผมต้องเตรียมอะไรบ้าง โดยเฉพาะการสร้างหน้า Sales Page หรือหน้าเว็บที่ลูกค้าเข้ามาแล้วเห็นรายละเอียดการสั่งซื้อ Ebook ของผม ซึ่งผมได้นำแนวทางของคุณพอล CEOBlog มาปรับใช้ ขออนุญาตไล่เป็นลำดับของหน้า Sales Page นะครับว่ามีเนื้อหาอะไรบ้าง หรือคุณผู้อ่านที่สนใจเข้าไปดูหน้าเต็มได้ที่ http://startitup.in.th/ebook-airbnb-entrepreneur-for-beginner/ 

1. การบอกเล่าเนื้อหาที่คลายความกังวลใจลูกค้า

ใคร ๆ ก็อยากมีเงินมากขึ้น Ebook ของผมเขียนขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนในประเด็นนี้ ผมถือว่าคนที่เข้ามา Sales Page เป็นลูกค้าใหม่ ทุกคนพอมีความรู้คร่าวเกี่ยวกับ Airbnb ว่ามันคืออะไร แต่สิ่งที่พวกเขาอาจจะยังไม่แน่ใจ คือ แล้วแขกที่เข้ามาพักจะทำร้าย ขโมยของ หรือทำของเสียหายหรือไม่

เพื่อคลายความกังวลใจ ผมจึงให้ข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับการที่เราสามารถตรวจสอบแขกก่อนอนุญาตให้เข้าพักได้ มีวงเกินประกันคุ้มครองจาก Airbnb วงเงินไม่เกิน 30 ล้านบาท เพื่อให้พวกเขารู้สึกสบายใจ และมั่นใจมากขึ้นในการปล่อยเช่าที่พักให้กับนักท่องเที่ยวทั่วโลกบน Airbnb

แชร์ประสบการณ์ และแนวทางการเขียน Ebook สร้างรายได้แบบ Passive Income

2. ชื่อและรูปสินค้า

ข้อมูลส่วนต่อมาคือ รายละเอียดของสินค้า ประกอบด้วย ชื่อ Ebook ชื่อผู้แต่ง จำนวนหน้าของ Ebook ขนาด A4  และรูปปกของ Ebook

แชร์ประสบการณ์ และแนวทางการเขียน Ebook สร้างรายได้แบบ Passive Income

3. ภาพรวมของ Ebook ทั้งเล่ม พร้อมตัวอย่างให้ดาวน์โหลด

ถัดจากข้อมูลสินค้า เป็นข้อมูลรายละเอียดของ Ebook ในภาพรวม ซึ่งผมใส่ข้อมูลอธิบายว่า Ebook เล่มนี้เหมาะสมกับใคร เนื้อหาภายในเล่มมีอะไรบ้าง และหากคนที่เข้ามาในหน้า Sales Page สนใจหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม พวกเขาสามารถดู Sample หรือตัวอย่างเนื้อหาบางส่วนของ Ebook ได้ เพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อ โดยการดาวน์โหลดตัวอย่าง Ebook จำนวนประมาณ 30 หน้า ซึ่งผมฝากไฟล์ไว้ที่ Google Drive พร้อมติด google short url เพื่อเก็บสถิติของยอดผู้ที่ดาวน์โหลดตัวอย่างของ Ebook ไปครับ

แชร์ประสบการณ์ และแนวทางการเขียน Ebook สร้างรายได้แบบ Passive Income4. การตั้งราคา และวิธีชำระเงิน

การให้โปรโมชั่น หรือส่วนลด เป็นแนวทางที่ดีในการวางขายช่วงแรก เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้า สำหรับ Ebook เล่มแรกปี 2015 ผมตั้งราคาขายที่ 250 บาท จากราคาเต็ม 320 บาท ผ่านไปประมาณ 2-3 เดือน ผมค่อยทยอยปรับราคาขึ้นเรื่อย ๆ ทุกเดือนจนถึง 320 บาท

นอกจากราคาขาย สิ่งที่คุณต้องติดลงไปในหน้า Sales Page คือ วิธีชำระเงิน ซึ่งผมใช้ 2 วิธี คือ 1) การชำระเงินด้วยบัตรเครดิต และ 2) การโอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร

แชร์ประสบการณ์ และแนวทางการเขียน Ebook สร้างรายได้แบบ Passive Income

1) การชำระเงินบัตรเครดิต ผมใช้วิธีติดตั้งปุ่ม Buy Now พอผู้ใช้กดปุ่มระบบจะพาผู้ใช้ไปที่เว็บ Gumroad ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มช่วยผู้ประกอบการให้มีระบบชำระเงินผ่านบัตรเครดิต และระบบจัดส่งสินค้าที่เป็นไฟล์ดิจิทัลไปยังลูกค้าที่สั่งซื้อให้อัตโนมัติ มันเป็นแนวทาง Passive Income โดยแท้ เพราะเราไม่ต้องลุกขึ้นมาเช็คยอดเงินโอน และมานั่งจัดส่ง Ebook ให้ลูกค้าทางอีเมลด้วยตนเอง แต่มีระบบของ Gumroad ที่คอยทำหน้าที่เหล่านั้นแทนเราครับ

แชร์ประสบการณ์ และแนวทางการเขียน Ebook สร้างรายได้แบบ Passive Income

ค่าธรรมเนียมการใช้แพลตฟอร์มอยู่ที่ประมาณ 10% จากราคาขายสินค้า หมายความว่าถ้าผมขาย Ebook ราคา 320 บาท ผมต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับ Gumroad ประมาณ 32 บาท แต่ก็คุ้มค่าถ้าแลกกับการที่เราไม่ต้องไปลงทุนพัฒนาระบบชำระเงินด้วยบัตรเครดิต ระบบจัดส่งสินค้าอัตโนมัติ และระบบการติดตามยอดขายเอง

การได้รับเงินจาก Gumroad คือ คุณต้องมีบัญชี Paypal ผูกเอาไว้ จากนั้นทุกวันศุกร์ Gumroad ทำการตัดยอด Ebook ที่ขายได้ในแต่ละสัปดาห์ และโอนเงินเข้าบัญชี Paypal ของคุณ ผมชอบระบบของ Gumroad เพราะทุกครั้งที่ขายได้จะมีอีเมล์ส่งมาแจ้งเตือนว่ามีคนสั่งซื้อ Ebook ของคุณนะ ผมชอบโมเม้นต์นี้มาก และรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้รับอีเมล์แจ้งเตือนนี้

แชร์ประสบการณ์ และแนวทางการเขียน Ebook สร้างรายได้แบบ Passive Income

2) การโอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร วิธีนี้เป็นวิธีแบบ Manual เลยครับ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะมีบัตรเครดิตหรือเดบิต หรือถึงแม้จะมีแต่บางคนก็ห่วงเรื่องความปลอดภัยในการชำระเงินออนไลน์ วิธีนี้ผมใส่รายละเอียดบัญชีธนาคารสำหรับโอนเงิน เมื่อลูกค้าโอนเสร็จผมให้แจ้งสลิปการโอนมาทาง Line ผมจะตรวจสอบยอดเงินที่โอนเข้า จากนั้นจะขออีเมล์ลูกค้า เพื่อทำการจัดส่ง Ebook ไปให้ครับ

5. ประวัติผู้เขียน

ข้อมูลสุดท้ายในหน้า Sales Page คือ ประวัติของผู้เขียน เป็นการบรรยายประวัติของตัวคุณเอง แรงบันดาลใจ แรงจูงใจ หรือความตั้งใจที่ทำให้คุณเขียน Ebook เล่มนี้ขึ้นมา การบอกเล่าเรื่องราวของคุณ ช่วยให้ลูกค้าสามารถสัมผัสกับตัวตนของคุณได้ว่าคุณคือใคร คุณมีความเชื่อในสิ่งที่คุณทำอย่างไร

มันสำคัญมากโดยเฉพาะการทำธุรกิจเพียงคนเดียว (Solopreneur) เพราะคนไม่ได้ซื้อสินค้าจากบริษัท แต่เขากำลังซื้อของจากคนทั่วไปด้วยกัน แสดงให้พวกเขาเห็นถึงความตั้งใจ ความปรารถนาดีของคุณ ในการสร้างบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาเพื่อช่วยแก้ปัญหาให้กับพวกเขา หรือช่วยทำให้ชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นดีขึ้น

แชร์ประสบการณ์ และแนวทางการเขียน Ebook สร้างรายได้แบบ Passive Income

หลังจากได้หน้า Sales Page แล้วทีนี้ก็ถึงเวลาส่งลิงค์สำหรับเข้าสู่ Sales Page ไปยังกลุ่มผู้ที่สนใจ ซึ่งผมคิดไว้ 2 แนวทาง คือ 1) การส่งอีเมล์ไปเสนอขายกับผู้คนที่มาลงชื่อไว้ตอนที่ผมประกาศบน Fanpage ว่าผมกำลังเขียน Ebook เกี่ยวกับ Airbnb อยู่ และ 2) โพสต์ลง Facebook ใน Page START IT UP และในหน้า Facebook ส่วนตัวของผมเองว่าตอนนี้ Ebook ของผมพร้อมขายแล้วนะ และเรามีราคาโปรโมชั่นพิเศษให้กับคุณในราคา 250 บาท จากราคาเต็ม 320 บาท สำหรับผู้ที่สั่งซื้อในเดือนแรกที่ผมวางขาย

ลูกค้าคนแรก คือ ประสบการณ์ที่ตื่นเต้นที่สุด

ผมวางขาย Ebook เล่มแรกในวันที่ 1 ตุลาคม 2015 ผมตื่นประมาณ 7 โมง เพื่อมาส่งอีเมล์ให้กับคนที่ฝากอีเมล์ไว้ให้ผมแจ้งกลับตอน Ebook เสร็จ และโพสประกาศขาย Ebook ใน Facebook ทั้ง Fanpage และเฟสส่วนตัว โมเม้นต์ตอนนั้นผมจำได้ดี ผมรู้สึกเหมือนกับ Pat Flynn เลยครับ คือ รู้สึกเครียด และเป็นกังวลว่าสิ่งที่เราทำมานั้นจะมีคนซื้อหรือเปล่า

ผมนั่งเฝ้าหน้าจอ แล้วรอดูว่ามันจะมีปฏิหาริย์อะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า ประมาณ 7 โมงครึ่ง อยู่ ๆ ก็มีแชททักมาจากพี่โอ๋ ซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่มทส.บอกว่าอยากอุดหนุนผมในสิ่งที่ผมทำ พี่โอ๋ คือ ลูกค้าคนแรกของผมครับ ที่โอนเงินมาให้ แล้วผมก็จัดแจงส่ง Ebook ไปให้พี่โอ๋ทางอีเมล์

จากนั้นอีกไม่นานครับ อีเมล์ฉบับแรกจาก Gumroad ก็เด้งมาที่แอพในมือถือผมแจ้งว่า “New sale of Ebook: Airbnb Entrepreneur for Beginner” ผมแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองว่า Ebook ของผมมันขายได้แล้ว ความรู้สึกมันเหมือนกับตอนที่ผมได้ลูกค้าจาก Airbnb เป็นครั้งแรกไม่ผิดเพี้ยนเลยครับ คือ มันตื่นเต้นแบบสุด ๆ

หลังจากนั้นก็มียอดสั่งซื้อเข้ามาอีก วันแรกผมขาย Ebook ได้ 10 เล่ม จำนวนอาจไม่เยอะ แต่ผมรู้สึกว่าโมเม้นต์การเป็นผู้ประกอบการ ที่มีคนมาซื้อในสื่งที่เราทำมันเป็นอะไรที่สุดยอดมาก ๆ มันแตกต่างจากประสบการณ์ในการทำ Letzwap สตาร์ทอัพตัวแรกของผมโดยสิ้นเชิง ตรงที่ผมมองไม่ออกเลยว่าผมจะทำเงินจากมันอย่างไร จากการให้ผู้ใช้แลกของกันได้ฟรีภายในแพลตฟอร์ม

สร้าง Community เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ในอนาคต

การขาย Ebook เป็นจุดเริ่มต้นให้ผมตัดสินใจสร้าง Community ที่ชื่อว่า Airbnb Host Thailand ขึ้นมาบน Facebook Group โดยวัตถุประสงค์ตอนที่สร้าง คือ ผมต้องการพื้นที่สำหรับคนที่ซื้อ Ebook ของผมไปแล้ว ให้สามารถเข้ามาโพสต์คำถาม เพื่อที่ผมจะเข้ามาตอบข้อสงสัยของพวกเขาในกลุ่มนี้ แต่ไป ๆ มา ๆ จากคนเพียงไม่กี่สิบคน กลายมาเป็นสมาชิก 10,000 คนในปัจจุบัน และตอนนี้ Community ก็เติบโตเองโดยอัตโนมัติ

หลายคนอาจจะคิดว่าการขาย Ebook ได้ คือ ปลายทางของนักเขียนแล้ว อย่างไรก็ตามมันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในบทบาทของผู้ประกอบการครับ เพราะในช่วงที่ปล่อย Ebook ออกไปคุณต้องทำการตลาดต่อ เพื่อให้สินค้าของคุณเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายให้ได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำ Content Marketing เขียนบทความให้ความรู้ ปล่อยพอดแคสต์ ทำวิดีโอสอน หรือแม้แต่การยิงโฆษณาบน Facebook มันคือสิ่งที่คุณต้องทำ เพราะ Ebook มันก็มี Life Cycle ของมันเหมือนสินค้าทั่วไป คุณอาจจะขายดีในช่วงแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไปจำนวนคนที่ใช้งาน Airbnb เป็นมีจำนวนมากขึ้น โอกาสที่ Ebook ของคุณจะขายออกก็ลดลง

แต่อย่างที่ผมกล่าวไป ว่าเราไม่ควรมองแค่ปัจจุบัน แต่เราควรมองให้ไกลกว่านั้น เพราะแม้ว่ากลุ่มที่เป็น Early Adopter หรือกลุ่มผู้นำเทรนด์จะเริ่มอิ่มตัวกับ Ebook ของคุณ แต่ในปีต่อ ๆ ไปขนาดตลาดมันมีการเปลี่ยนแปลง นั่นคือการที่คนทั่วไปรู้จักกับ Airbnb มากขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใหญ่กว่าคนกลุ่มแรกมาก มันคือโอกาสที่คุณจะขาย Ebook ให้กับคนในปีถัดไปมีมากขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ตามคุณต้องมีการปรับปรุง Ebook ของคุณให้เป็นปัจจุบัน เพื่อช่วยให้ผู้ซื้อในปีต่อ ๆ ไปสามารถนำไปใช้ได้ทันที

ดังนั้นผมจึงคิดว่า การสร้าง Community เป็นแนวทางที่ดีแนวทางหนึ่ง ในการรวบรวมคนที่สนใจในเรื่องเดียวกันเข้ามาอยู่ด้วยกัน บทบาทของผู้นำ Community คือ การให้ความรู้ หรือมอบคุณค่าบางอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อคนใน Community และมันก็ไม่ใช่เรื่องยาก หากคุณได้สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างคุณกับคนในชุมชน พวกเขาก็จะสะดวกใจในการอุดหนุนสิ่งที่คุณทำ ดังนั้นจงรักษา Community ของคุณให้ดี เพราะ

“ที่ใดมีคนที่นั่นมีปัญหา และที่ใดมีปัญหาที่นั่นมีเงิน”

ปัจฉิมบท ยิ่งลงมือเร็วเท่าไหร่ ยิ่งเห็นผลเร็วเมื่อนั้น

ใครที่อ่านมาถึงบทสุดท้าย ผมคิดว่าคุณน่าจะได้แนวทางไปใช้สำหรับการตีพิมพ์ Ebook ของคุณเองไม่มากก็น้อยครับ อย่างที่ผมเขียนไปในช่วงต้นว่า ผมเองก็เคยมืดแปดด้านเกี่ยวกับการมีหนังสือสักเล่มเป็นของตัวเอง ผมมองไม่ออกว่าผมทำมันให้สำเร็จได้อย่างไร เพราะเราไม่ใช่คนมีชื่อเสียงที่สนพ.จะวิ่งเข้าหา หรือยอมรับงานเขียนของเรา มันดูเป็นไปได้ยากเหลือเกิน

บทความของคุณพอลบน CEOBlog ที่เขียนเกี่ยวกับการตีพิมพ์ Ebook ด้วยตนเอง ช่วยให้ผมเห็นกระบวนการทั้งหมดของการทำ Ebook แต่ผมก็ยังไม่สามารถเขียนได้ เพราะความรู้เรื่องไหนล่ะที่ผู้คนต้องการ หนังสือ The $100 Startup สอนให้ผมรู้ว่าผู้คนต้องการอะไร และความรู้ + ทักษะที่ผมมีจะช่วยเหลือพวกเขาได้อย่างไร

ขอขอบคุณ Nick Loper กับคอร์สเรียนออนไลน์ของชายคนนี้ ที่สอนให้ผมรู้ว่าการพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรส (การเขียน Ebook ทั้งเล่มให้เสร็จ) เราจะต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง แนวคิดการหั่นระยะทางเพื่อพิชิตยอดเขาในแต่ละวัน มันช่วยให้เราเห็นความคืบหน้าของตัวเอง การพิชิตความสำเร็จเล็ก ๆ ในแต่ละวัน (การกำหนดว่าแต่ละวันจะเขียนหัวข้อไหนให้เสร็จบ้าง) เมื่อเราสะสมไปเรื่อย ๆ ก็กลายเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้

ตอนทำ Ebook เล่มแรกผมตั้งเป้าไว้ 3 เดือน คือ ไม่ใช่แค่เขียนเล่มเสร็จแต่ไปถึงขั้นพร้อมวางขาย หากใครที่อยากลงมือทำ Ebook หรือ Information Product อะไรก็ตามแต่ ผมแนะนำให้คุณกำหนด Challenge โดยเฉพาะข้อจำกัดทางด้านเวลา เพื่อบีบให้คุณลงมือทำจนเสร็จในที่สุด เพราะยิ่งคุณเขียนเสร็จไวเท่าไหร่ คุณยิ่งมีโอกาสในการวางขายสินค้าให้กับคนที่สนใจเร็วขึ้นเท่านั้นครับ

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากเขียน Ebook เป็นของตัวเอง แต่ยังไม่มีไอเดีย ผมแนะนำให้เริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่า บล็อก เพื่อทดสอบความสนใจของผู้คนดูว่า พวกเขาตอบรับกับความรู้ และความหลงใหลของคุณมากน้อยแค่ไหน

แนวทางการเขียนบล็อกเพื่อให้มีผู้ติดตามเป็นกระบวนการที่ใช้เวลานาน แต่มองอีกมุมหนึ่งมันเป็นการช่วยลดความเสี่ยง เพราะ 1) ต้นทุนการเริ่มต้นเขียนบล็อกนั้นถูกมากปีละ 1,000 กว่าบาทสำหรับการเช่าโฮสต์ และจดโดเมน คุณสามารถใช้บล็อกเป็นพื้นที่ทดสอบไอเดียของคุณได้ 2) ถ้าคนรู้จักคุณ ผ่านงานเขียนของคุณบนบล็อกแล้ว มันก็ง่ายในการเสนอขายคุณค่าที่พวกเขาต้องการ ดีกว่าเสี่ยงลุย 3 เดือนเขียน Ebook เสร็จพอวางขายไปกลับขายไม่ออก

สุดท้าย สิ่งที่ผมแชร์ในบทความนี้เป็นประสบการณ์ และแนวทางส่วนตัวของผมเองในการเขียน Ebook ขายตลอดระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่ปลายปี 2015 – ต้นปี 2019 ผมไม่ได้ชี้ช่องทางรวยด้วย Ebook แต่ผมต้องการแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่เกิดขึ้นในการทำธุรกิจบนอินเทอร์เน็ตในสาย Infopreneur หรือผู้ประกอบการความรู้ ซึ่ง Ebook เป็นหนึ่งในสินค้าของธุรกิจประเภทนี้ และผมยินดีมากหากใครสักคนนำแนวทางเหล่านี้ไปต่อยอด และสร้างรายได้พิเศษให้กับตนเองได้สำเร็จ แล้วไว้พบกันใหม่ในบทความหน้าสวัสดีครับ

Comments

comments