7 บทเรียนจากผู้ประกอบการที่เริ่มต้นธุรกิจระหว่างทำงานประจำ
Photo Credit: levo.com

การเริ่มต้นธุรกิจในระหว่างทำงานประจำมีข้อดีหลายอย่าง นอกจากมีรายได้ต่อเนื่อง และได้กินกาแฟฟรีแล้ว การทำงานประจำก็ช่วยให้คุณมี Resume และ Portfolio ที่ดูน่าเชื่อถือ สามารถสร้าง Connection ในสายงานที่คุณทำอยู่ได้ ที่ดีไปกว่านั้น การทำงานให้คนอื่นช่วยให้คุณได้เห็นวิธีการดำเนินธุรกิจที่ดีที่สุด (หรือห่วยที่สุด) โดยเฉพาะการบริหารเวลา และเงิน เพื่อดูแลจัดการกับลูกค้า และพนักงาน

ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จต่อไปนี้ คือ ผู้ที่เริ่มต้นธุรกิจของพวกเขาในระหว่างที่ทำงานประจำ และนี่ คือ บทเรียนที่พวกเขาได้เรียนรู้และเผยแพร่ให้พวกเราได้ทราบกัน

1. พิสูจน์ไอเดียของคุณให้ได้เสียก่อน

การที่คุณเป็นพนักงานประจำ หมายความว่า คุณมีเวลาไม่กี่ชั่วโมงในแต่ละวันที่จะทุ่มเทให้กับธุรกิจของคุณ ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรก คือ “การพิสูจน์ให้ได้ว่าไอเดียของคุณ work และมีคนยอมจ่ายเงินให้กับไอเดียนี้” Shara Senderoff กล่าว Senderoff เป็นทั้งผู้ร่วมก่อตั้ง และ CEO ของ Career Sushi ตลาดออนไลน์ที่นายจ้างสามารถสร้าง Portfolio แบบ Visual สุด Cool เพื่อดึงดูดให้ผู้คนไฟแรงมาสมัครงาน

Senderoff นั้นโชคดี เพราะเธอเคยเป็นพนักงานบริษัททำโปรดักชัน ทั้งรายการทีวีและภาพยนตร์ให้กับ Hollywood ทำให้เธอได้รับเงินทุนตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นทำสตาร์ทอัพในปี 2011 แต่เนื่องจาก Senderoff ไม่ได้ออกเงินเอง เธอจึงหลงใช้เวลามากกว่าที่ควรจะเป็น ในการทำ Career Sushi ทั้งการสร้างแบรนดิ้ง การออกแบบเว็บ การลงรายละเอียดของ Platform และการพิสูจน์ไอเดีย ทุกอย่างมันย่ำแย่ไปหมด

“ฉันใช้เวลาราว 6 เดือน เพื่อทำสิ่งที่ว่ามา” ผู้ประกอบการในลอสแอนเจลิสกล่าว ปัจจุบัน Career Sushi มีนายจ้างกว่า 15,000 ราย และมีคนค้นหางานทำกว่า 150,000 คน “เมื่อมองย้อนกลับไป มันคือเวลา 6 เดือนที่เปล่าประโยชน์ แน่นอน การเริ่มต้นทำธุรกิจสตาร์ทอัพมันไม่ได้หวานหมู เมื่อคุณรู้ว่าเงินกำลังจะหมดก่อนที่จะได้ปล่อย Product ออกไป” Senderoff กล่าว นอกจากนี้เธอยังแนะนำแก่ผู้ประกอบการอีกว่า

“อย่าได้ลองสร้างรถ Porsche เมื่อคุณเริ่มต้นทำ Wireframe และทดสอบว่ารถมันจะวิ่งได้หรือเปล่า”

2. ให้เป้าหมายหลักกำหนดเวลาที่คุณต้องลุย

คุณไม่ต้องซีเรียสเรื่องตารางเวลา หลังจากคุณออกจากงานประจำ มันเป็นช่วงเวลาที่งบจำกัด มีพนักงานไม่กี่คน และมีรายการสิ่งที่ต้องทำต่าง ๆ มากมาย ให้ตัดสินใจว่าในแต่ละวันคุณควรทำงานไหนที่คุณจะเข้าใกล้เป้าหมายได้มากที่สุด

สำหรับ Allyson Downey ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO ของ Platform รีวิวผลิตภัณฑ์สำหรับทารก ชื่อ weeSpring หญิงสาวคนนี้เคยทำงานให้กับองค์กรการศึกษาที่ไม่แสวงหากำไร ซึ่งให้การฝึกอบรมเรื่องการจัดระเบียบ และจัดลำดับความสำคัญ

เพื่อให้เข้าใกล้เป้าหมาย Downey ใช้ชาร์ทที่วางอยู่บนโต๊ะของเธอ เพื่อกำหนดเป้าหมายในแต่ละวัน เธอบอกว่า “ในชาร์ทฉันมีอยู่ 3 คอลัมน์ คือ user growth, revenue growth และ development” การสร้างชาร์ทและคอลัมน์เป้าหมายเหล่านี้ ก็เพื่อป้องกันการไม่โฟกัสต่อเป้าหมาย เช่น แก้ไขสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ และการสร้างฟีเจอร์ใหม่ ๆ ดังนั้น คอลัมน์ development จึงมีขนาดเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของ 2 คอลัมน์แรกเท่านั้น

“เพราะงานในคอลัมน์นี้ไม่ได้เร่งด่วนเท่า 2 คอลัมน์แรก  เช่น การอัพเดทหน้า About Us ในเว็บ weeSpring ย้อนกลับมาที่ชาร์ท รายการต่าง ๆ ที่ฉันต้องทำสำหรับ 2 ปีถูกกำหนดไว้แล้ว และจะมีรายการต่อเนื่องไปอีก 2 ปีถัดไป เพราะฉันจำเป็นต้องคิด และโฟกัสสิ่งต่าง ๆ ที่ช่วยให้บริษัทก้าวไปข้างหน้า” Downey กล่าว

3. สร้างกระบวนการทำงาน และระบบของคุณขึ้นมา

ก่อนที่ Guy Baroan จะเริ่มทำ Baroan Technologies แบบเต็มเวลา เขาเคยเป็นพนักงานดูแลจัดการสวนสนุกแบบในร่มมาหลายปี ซึ่งจ้างพนักงานกว่า 80 คน และเป็นโฮสต์จัดงานปาร์ตี้วันเกิดให้กับเด็ก ๆ กว่า 135 งานต่อสัปดาห์

Baroan อธิบายว่า “มันไม่มีวิธีการตายตัวสำหรับการเป็นโฮสต์จัดงานปาร์ตี้วันเกิด” พนักงานจำเป็นที่จะต้องมีแบบแผนสำหรับเวลาเป่าเค้กวันเกิด การนำเสนอเกมภายในงาน เพื่อให้งานดำเนินได้อย่างราบรื่น และอำนวยความสะดวกให้กับแขกที่มางานมากที่สุด

Baroan เคยทำธุรกิจแบบ one-man show มาก่อน และเมื่อเขาออกจากงานในปี 1997 เพื่อทุ่มพลังให้กับ Baroan Technologies เขาตัดสินใจว่าจะต้องวางมือจากงานที่ล้นให้เร็วที่สุด เขาเอากระดาษขั้นตอนการดำเนินงานของสวนสนุกมาใบหนึ่ง และเริ่มทำเอกสารแนวทางการทำธุรกิจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการจัดการตารางนัดหมาย รวมถึงบริการฝึกอบรมพนักงาน

Baroan กล่าวว่า “วิธีที่ดีที่สุดที่จะให้คนอื่นสามารถทำงานแทนได้ คือ การสร้างกระบวนการทำงานและระบบขึ้นมา” ธุรกิจของเขาจ้างพนักงาน 18 คน และมีรายได้ต่อปี 3 ล้านเหรียญ เขาเสริมว่า

“เมื่อคุณมีขั้นตอนที่แน่นอน ไม่ว่าใครทำงานก็ตาม พวกเขาสามารถทำสำเร็จในแบบเดียวกันได้”

4. แก้ปัญหาแต่เนิ่น ๆ

ก่อนที่จะทุ่มสุดตัวให้กับธุรกิจแบบเต็มเวลาในปี 2012 Katie Stack ใช้เวลาเป็น 10 ปีทำงานในแผนกเครื่องแต่งกายของโรงละครในระดับภูมิภาค บ่อยครั้งที่ชุดคอสตูมยังไม่เสร็จจนกว่าจะถึงนาทีสุดท้าย ซึ่ง Designer มักจะมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องสี และผ้าสำหรับชุด ยิ่งในช่วงเวลาโอที และใกล้ถึงวันแสดง “ราคาค่าส่งวัสดุสำหรับเสื้อผ้าก็จะพุ่งพรวดขึ้นมา 6 เท่าของราคาปกติ” Stack ได้เปิดธุรกิจ ที่เป็นทั้งสตูดิโอออกแบบ และร้านบูติคในวอชิงตัน ดีซี ชื่อ Stitch & Rivet

ธุรกิจนี้ขายสินค้าทำมือจำพวกถุง กระเป๋าถือ และเข็มขัด โดย Stack มั่นใจว่าคุณภาพของวัสดุที่เธอสั่งมานั้น จะต้องเป็นที่ต้องการก่อนลงมือผลิตสินค้า ถ้าเธอไม่แฮปปี้กับเนื้อผ้า หรือซิบ แน่นอนว่าลูกค้าของเธอก็ไม่แฮปปี้เช่นเดียวกัน

คำแนะนำของ Stack คือ

“ถ้าคุณต้องการเปลี่ยนอะไรก็ตามที่คุณกำลังทำอยู่ ให้เปลี่ยนในขั้นทำ Prototype แทนที่จะเปลี่ยนในขั้นสุดท้าย เพราะมันเหมือนกับการล่องแม่น้ำซึ่งคุณยากที่จะย้อนกลับมา”

5. วางแผนรับมือกับความผันผวนทางการเงิน

Heidi Andermack กลายเป็นเชี่ยวชาญเรื่องความผันผวนของกระแสเงินสดในธุรกิจขนาดเล็ก จากประสบการณ์ 7 ปีที่เธอช่วยสามีดูแลธุรกิจออกแบบ Font ดังนั้นเมื่อเธอได้เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Chowgirls Killer Catering ในปี 2004 เธอและหุ้นส่วน Amy Lynn Brown ตั้งกฏทางการเงินขึ้นโดย จำกัดสินเชื่อส่วนบุคคลเพื่อให้บริษัทดำเนินต่อไปได้ในช่วงฝืดเคือง หลีกเลี่ยงการจ่ายกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และมองหาธนาคารที่อนุมัติปล่อยกู้เร็วที่สุด

สองผู้ก่อตั้งยังรู้ด้วยว่าธุรกิจของพวกเธอพีคตอนไหน โดยเฉพาะฤดูแต่งงานช่วงซัมเมอร์ และวันหยุดสิ้นปี เพื่อรักษาช่วงรอยต่อได้ “การเรียนรู้รูปแบบการดำเนินธุรกิจของคุณนั้นสำคัญมาก” Andermack กล่าว “คุณสามารถคาดเดาได้ว่าช่วงไหนควรรัดเข็มขัด”

Katie Stack เสริมเกี่ยวกับหัวข้อนี้ว่า “นอกจากนี้คุณยังสามารถคาดเดาต้นทุนที่จะพุ่งสูงขึ้นได้” Stack ได้เผื่องบสำหรับ Stitch & Rivet ไว้ในกรณีที่เกิดเหตุร้ายแรง ในช่วงที่โรงละครเปิดแสดง “จงเตรียมงบสำหรับเหตุการณ์ที่คุณคาดไม่ถึง” เธอกล่าว เธอได้จัดสรรเงินจำนวน 15 – 20% ไว้สำหรับปรับปรุงเว็บไซต์ งานแสดงสินค้า การพัฒนาวัสดุและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ใน Product “ถ้าคุณไม่แตะเงินเหล่านี้ มันจะเยี่ยมมาก แต่ก็มีหลายโอกาสที่คุณจำเป็นต้องใช้มัน”

6. ลงทุนกับพนักงาน

ให้พนักงานของคุณรู้สึกว่าพวกเขามีค่าเสมอ คือ พื้นฐานที่สำคัญ Brown ผู้ร่วมก่อตั้ง Chowgirls เธอได้รับค่าตอบแทนอย่างงามกับการทำงานให้กับบริษัทสื่อข้ามชาติตลอด 9 ปี ก่อนที่เธอจะเปลี่ยนความตั้งใจมาทำ Catering ร่วมกับ Andermack “การได้รับทั้งค่าตอบแทน การดูแล และสิทธิประโยชน์ที่ดี สอนให้ฉันรู้ถึงความสำคัญสำหรับความซื่อสัตย์ที่พนักงานมีให้กับธุรกิจ” เธอกล่าว

Chowgirls ทำเงินได้มากกว่า 2 ล้านเหรียญต่อปี อีกทั้งยังมอบข้อเสนอให้กับพนักงานประจำ โดยจ่ายเงินเดือนให้สูงกว่าที่อื่น และให้สิทธิประโยชน์แบบใจป้ำ เช่น พนักงานสามารถใช้เวลาดูแลพ่อแม่ได้ 1 เดือน สามารถลาพักร้อน 3 อาทิตย์ (หลังทำงานประจำ 3 ปี) สามารถส่งข้อความได้ฟรี และมีส่วนลดร้านขายของชำให้ “เราให้ความสำตัญกับการดูแลพนักงานในระดับสูงมาก” Brown กล่าว

7. ดูแลลูกค้าดั่งทองคำ

Baroan เริ่มทำธุรกิจส่วนตัวในช่วงปลายปี 90 ในตอนนั้น “คนที่ทำงานสายไอทีมักคิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้า” เขากล่าว แต่ผมไม่อยากสร้างทีมที่เต็มไปด้วย Geek เพราะคนพวกนี้ดื้อในการดูแลลูกค้าด้วยความเคารพ ดังนั้นผมจึงยึดปรัชญาในการให้บริการซึ่งได้มาจากนายเก่าของผม คือ “พวกเราโฟกัสไปที่การดูแลทุก ๆ คนให้เหมือนกับแขกที่มาเยี่ยมบ้านของคุณ แทนที่จะดูแลเอาใจใส่แบบคนแปลกหน้า”

ลูกทีมไอทีของ Baroan จะต้องช่วยในเรื่องของตารางเวลาจัดงาน การระบุชื่อลูกค้า การตอบข้อซักถาม และการตรวจสอบทุกอย่างที่ลูกค้าต้องการก่อนที่จะทำงานของพวกเขา

Baroan กล่าวต่ออีกว่า “ผู้คนติดสินคุณจากสิ่งที่คุณมีต่อพวกเขา” ลูกค้าอาจไม่รู้จักการคอนฟิกระบบเครือข่ายอะไรนั่นหรอก แต่พวกเขารู้ถ้าคุณนอบน้อมและเชื่อถือได้ Baroan ให้ความสำคัญกับแนวทางนี้ ซึ่งช่วยให้ลูกค้าบอกกันแบบต่อปากต่อปากไปอีกนานหลายปี “นี่คือวิธีที่ทำให้ธุรกิจเติบโต” Baroan กล่าว

อีกกรณีศึกษาหนึ่ง คือ เรื่องราวของ Kevin Jordan 6 ปีกับการเป็นนักบินสายการบินพาณิชย์ปลูกฝังให้เขามีวินัยอย่างมาก เขาได้เปิดบริษัทที่ปรึกษาด้านการตลาด Redpoint ในปี 2012 ณ เมือง Farmville รัฐ Virginia อดีตนักบินใช้มาตรฐานในวิชาชีพที่เขาทำกับแต่ละโปรเจ็คที่ตอบรับ แม้ว่าจะมีงานหยุมหยิมที่เขามักหลีกเลี่ยง และงานหยุมหยิมที่ลูกค้าอาจไม่เคยรู้มาก่อน เช่น การสัมภาษณ์ลูกค้าเพื่อให้โซลูชันทางธุรกิจ “โดยเฉพาะปัญหาอะไรที่พวกเขากำลังประสบอยู่” Jordan กล่าว “มันยากที่จะเข้าถึงความต้องการของลูกค้าจากการพูดคุยผ่านโทรศัพท์”

แต่สำหรับ Jordan เขามีวินัยก่อนที่จะออกบิน ซึ่งเป็นงานในส่วนที่ไม่มีใครมองเห็น “มันก็เหมือนกับการตรวจสอบเครื่องบินช่วง Preflight ลูกค้าอาจไม่รู้เลยว่าคุณทำสิ่งต่าง ๆ มากมาย” เขากล่าว “แต่สิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างความแตกต่างในระยะยาว และทำให้ผมโดดเด่นกว่าคนอื่น ๆ ที่ทำธุรกิจคล้ายกันกับผม”

Comments

comments