20 ปี หนังสือพ่อรวยสอนลูก บ้านยังเป็น

สารภาพตามตรงผมเพิ่งเคยได้มีโอกาสอ่านหนังสือ “พ่อรวยสอนลูก” หรือ Rich Dad Poor Dad ที่เขียนโดย Robert Kiyosaki ปัจจุบันครบรอบ 20 ปี และผมก็ซื้อมาอ่าน ต้องบอกเลยว่ามัน คือ หนังสือสอนการลงทุนที่ดีมากเล่มหนึ่งที่ผมเคยอ่านมาเลยทีเดียว Robert Kiyosaki เขียนได้ตรงประเด็นเลยครับว่า สถาบันการศึกษามุ่งเน้นแต่วิชาการ และวิชาหาเงินเลี้ยงชีพ แต่ไม่เคยสอนเรื่องบริหารจัดการเงิน

ดังนั้นเขาจึงเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา เพื่อช่วยให้ผู้คนเห็นแนวทางที่พวกเขาจะมีอิสระภาพทางการเงิน โดยการเพิ่มช่องทรัพย์สินให้ใหญ่ขึ้นจากการลงทุน หรืออะไรก็ตามแต่ เพื่อให้ทรัพย์สินสร้างผลตอบแทน และรายได้ให้กับเรา มากจนเกินกว่ารายจ่ายที่เรามี เพื่อให้เรามีอสระภาพทางการเงิน

แนวคิดเรื่องทรัพย์สิน และหนี้สินในหนังสือพ่อรวยสอนลูกนั้นเรียบง่ายมาก ๆ คือ

ทรัพย์สิน คือ สิ่งที่ทำให้เงินไหลเข้ากระเป๋า หนี้สิน คือ สิ่งที่ทำให้เงินไหลออกจากกระเป๋า

มีอยู่บทหนึ่งที่พ่อรวยสอน Kiyosaki ว่าการมีบ้าน คือ หนี้สิน ไม่ใช่ทรัพย์สินอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจกัน รูปจากหนังสือพ่อรวยสอนลูก คุณจะเห็นว่าคนส่วนใหญ่ กู้เงินมาซื้อบ้าน รายจ่ายของพวกเขา คือ เงินผ่อนชำระค่าบ้าน ภาษีโรงเรือน เบี้ยประกัน ค่าซ่อมบำรุง และสาธารณูปโภค พูดง่าย ๆ คือ บ้านทำให้เงินไหลออกจากกระเป๋า

20 ปี หนังสือพ่อรวยสอนลูก บ้านยังคือหนี้สินแบบที่พ่อรวยสอนอยู่หรือเปล่า
credit: หนังสือ พ่อรวยสอนลูก

Kiyosaki ชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดของการมีบ้าน คือ การสูญเสียโอกาสในการลงทุน เพราะคุณต้องเทเงินก้อนใหญ่ที่มีไปกับบ้าน คุณจะถูกบังคับให้ทำงานหนักขึ้น เพื่อนำเงินไปใช้ในช่องรายจ่ายต่าง ๆ เกี่ยวกับบ้าน โดยสรุปการซื้อบ้านราคาแพง แทนที่จะนำเงินก้อนนั้นไปลงทุน ส่งผลกระทบต่อชีวิตคนเราอย่างน้อย 3 ประการ คือ

  1. สูญเสียเวลา เวลาที่น่าจะทำให้ทรัพย์สินอื่น ๆ โตขึ้น
  2. สูญเสียเงินลงทุน แทนที่จะนำเงินไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทน กลับต้องนำเงินมาจ่ายค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบ้าน
  3. สูญเสียโอกาสในการเรียนรู้ เนื่องจากลงทุนกับบ้านไปเยอะ ทำให้หลายคนหมดไม่เหลือเงินที่จะลงทุน พวกเขาสูญเสียโอกาส และประสบการณ์ในการเรียนรู้เรื่องการลงทุน พวกเขาก็ไม่ได้ไปเป็นนักลงทุนที่ช่ำชอง การลงทุนที่ดีที่สุดจะถูกเสนอแก่นักลงทุนผู้ช่ำชอง ไม่ใช่นักลงทุนทั่วไป

ข้อมูลเหล่านี้ผมนำมาจากหนังสือพ่อรวยสอนลูกฉบับปี 2018 และเมื่อกาลเวลาล่วงเลยมา 20 ปี คำสอนของพ่อรวยก็ยังเป็นคำสอนที่ดีมากอยู่ครับ แต่ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และอินเทอร์เน็ตที่ได้สร้างความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ขึ้นมา ทำให้บ้านเองสามารถพลิกจากหนี้สิน (ในมุมของพ่อรวย) ให้กลายเป็นทรัพย์สินได้เช่นกัน

ความเป็นไปได้นั้น คือ Airbnb ครับ ใช่ครับธุรกิจสตาร์ทอัพแบ่งปันที่พักให้กับคนแปลกหน้าที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกใน 191 ประเทศ หากย้อนกลับไปหลายปีก่อนปัญหาหรืออคติเรื่อง “คนแปลกหน้า = อันตราย” หรือ “Stranger = Danger” ก็ยังไม่สามารถถูกแก้ไขได้ หรือยังไม่มีใครมองออกว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร ที่เราจะเปิดบ้านให้คนแปลกหน้าเข้ามาพัก เขาไม่มาปล้นหรือทำร้ายคุณเหรอ

กว่าปัญหานี้จะเริ่มมีคนหยิบมาท้าทายอีกครั้ง ก็ต้องรอมาถึงยุคที่ Social Network เบ่งบาน คนสะดวกใจเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวขึ้นบนโลกออนไลน์แบบเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะเป็นรูปโปรไฟล์ ชื่อ ประวัติส่วนตัว และข้อมูลต่าง ๆ อีกมากมาย พฤติกรรมการเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ คือ องค์ประกอบสำคัญที่ Airbnb หยิบนำมาใช้ออกแบบ ระบบโปรไฟล์ และรีวิว เพื่อให้เจ้าของที่พักสามารถเห็นหน้าค่าตา และรีวิวของแขกที่จะเข้ามาพักในบ้านของพวกเขาบน Airbnb ได้

20 ปี หนังสือพ่อรวยสอนลูก บ้านยังคือหนี้สินแบบที่พ่อรวยสอนอยู่หรือเปล่า
credit: alexwongcopywriting.com

ทั้งหมดส่งผลให้พวกเขากล้ามากขึ้นที่จะเปิดบ้านตอนรับคนแปลกหน้าให้เข้ามาพัก และมันกลายเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอันหนึ่งเลยในยุคอินเทอร์เน็ต ที่ทำให้ผู้คนมีช่องทางในการสร้างรายได้จากหนี้สิน (บ้านในคำสอนของพ่อรวย) ที่ตนเองมีอยู่ นี่เองที่ทำให้หนี้สินนั้นสามารถพลิกกลับมาเป็นทรัพย์สินได้ บางคนอาจจะไม่ถึงขั้นร่ำรวยเป็นเศรษฐีจากการให้เช่าที่พักของ Airbnb แต่อย่างน้อย คือ การมีคนมาช่วยแบ่งเบาจ่ายค่าน้ำค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าเช่า หรือค่าผ่อนบ้าน รวมถึงมีรายได้พิเศษเพื่อใช้เป็นทุนรอนใช้ในการออกไปท่องเที่ยว โดยปล่อยให้บ้านทำเงินแทนในช่วงที่ไม่ได้อยู่อาศัย

Sally Miller อีกหนึ่งแรงบันดาลใจที่ทำให้คุณอยากลุกขึ้นมาปล่อยเช่าบ้านบน Airbnb
credit: sallymiller.com

Sally Miller เจ้าของหนังสือ Make Money on Airbnb: How to Quickly and Easily Earn $2,500 a Month from Your Home เป็นอีกหนึ่งคนที่กล้าจะลองเข้าถึงโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจในยุคอินเทอร์เน็ต เธอลาออกจากงานประจำรายได้ดี เพื่อให้มีโอกาสมาอยู่บ้านเลี้ยงลูกได้เต็มที่ ทำให้ภาระการหารายได้เลี้ยงครอบครัวตกไปอยู่ที่สามีของเธอ

การมีลูกทำให้ครอบครัวของ Sally มีรายจ่ายค่อนข้างมาก ยิ่งเมื่อเธอออกจากงานประจำรายได้ของครอบครัวก็ยิ่งลดลง เธอไม่มีเงินพอที่จะใช้จ่ายสิ่งของฟุ่มเฟือย การคิดที่จะพาครอบครัวไปเที่ยววันหยุด การซื้อรถคันใหม่ การปรับปรุงบ้าน หรือแม้แต่เงินใช้จ่ายตอนเกษียณก็เป็นสิ่งที่เธอคิดว่าว่ามันเป็นไปไม่ได้

Sally คิดถึงหนทางการหารายได้พิเศษ เพื่อเป็นทุนพาครอบครัวไปเที่ยวที่ลอนดอน ไอเดียแรกที่เธอกับสามีคุยกัน คือ การแลกบ้านกันอยู่ ระหว่างบ้านของเธอกับบ้านของครอบครัวสักครอบครัวหนึ่งในลอนดอน แต่ด้วยเรื่องของเวลาที่ไม่ลงตัวทำให้ทั้งคู่ล้มแผนนี้ไป Sally กลับมาอีกครั้งพร้อมกับนำ Airbnb มาเสนอสามี เธอรู้จักคนที่เคยเอาบ้านทั้งหลังไปปล่อยเช่าบน Airbnb และไม่เคยมีปัญหา นอกจากนี้พวกเขายังสามารถปิดการขายได้ด้วย ดังนั้นทำไมพวกเธอจะทำไม่ได้ล่ะ

Sally ใช้เวลาศึกษาเว็บไซต์ Airbnb 2-3 สัปดาห์ ในที่สุดบ้านของเธอก็พร้อมปล่อยให้เช่าบน Airbnb แน่นอนว่าเธอได้ลูกค้าอย่างรวดเร็วในเวลาไม่ถึง 1 ชม. กับรายได้ 2,328 เหรียญ หรือประมาณ 74,000 บาท มันคือประสบการณ์ที่หน้าตื่นเต้นที่สุดสำหรับเธอ และอีก 48 ชม. ต่อมาเธอก็ได้อีก 4 การจอง ในที่สุดเธอก็มีรายได้สำหรับใช้ในเที่ยวลอนดอนกับครอบครัวสมใจ

Sally มีรายได้จากการให้เช่าบ้านของเธอบน Airbnb ประมาณ 2,500 เหรียญ หรือประมาณ 80,000 บาทต่อเดือน เธอตีพิมพ์หนังสือ Make Money on Airbnb: How to Quickly and Easily Earn $2,500 a Month from Your Home บน Amazon เพื่อเผยแพร่เรื่องราว และเทคนิคของเธอในการสร้างรายได้จากการให้เช่าบ้านของเธอเองบน Airbnb

20 ปี หนังสือพ่อรวยสอนลูก บ้านยังคือหนี้สินแบบที่พ่อรวยสอนอยู่หรือเปล่า

แน่นอนว่าในการทำธุรกิจ คุณต้องมีลูกค้ากลุ่มเป้าหมายอยู่ในใจ ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของ Sally คือ ครอบครัวที่มีเด็กเล็ก เธอเข้าใจความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้ดี เพราะเธอเองก็มีลูกสาว และรู้ว่าที่พักควรจะต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไร (สิ่งอำนวยความสะดวกบางอย่างช่วยให้เธอชาร์จเงินลูกค้าเพิ่มได้ และช่วยให้ที่พักของเธอแตกต่างจากคู่แข่ง) ลูกค้าประเภทนี้จ่ายหนัก และพักอยู่นาน

เธอหลีกเลี่ยง และปฏิเสธแขกที่อาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายกับเพื่อนบ้าน หรือทำความเสียหายกับที่พักของเธอได้ เช่น พวกเด็กวัยรุ่น หรือคนที่ต้องการจะมาจัดปาร์ตี้ในบ้านของเธอ การป้องกันความวุ่นวายนี้ทำได้ด้วยการสอบถามพูดคุยกับแขกเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการมาพักได้ ก่อนที่เธอจะตัดสินใจว่าจะให้ว่าที่ลูกค้าเช่าที่พักหรือไม่

ผมรู้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่อยากเอาบ้านมาปล่อยเช่าให้กับคนแปลกหน้า หรือที่พักของตัวเองเหมาะสมกับการให้เช่า แต่ในบทความนี้เป็นมุมที่ผมสนใจจากการอ่านหนังสือทั้งสองเล่ม ผมลองเอาความรู้จากหนังสือ 2 เล่มดังกล่าวมาเชื่อมโยงกันดู จนกลายเป็นบทความนี้ เพื่อให้คุณผู้อ่านเห็นได้เห็นความเป็นไปได้บางอย่าง นั่นคือ บ้านที่อาจจะเป็นหนี้สินสำหรับใครหลาย ๆ คน ในอีกมุมหนึ่งมันก็สามารถ Convert กลับมาเป็นทรัพย์สินสร้างรายได้ให้กับเจ้าของได้ หากคุณเรียนรู้ ศึกษา และเปิดใจรับโอกาสใหม่ ๆ บนอินเทอร์เน็ต แบบที่ Sally Miller แสดงให้เห็นเป็นตัวอย่าง

ทิ้งทายยังมีโอกาสทางธุรกิจอีกมากมายบนโลกใบนี้ ขอเพียงให้คุณศึกษา รู้เท่าทัน และลองนำไปลงมือทำให้เกิดผล ผมเชื่อว่าสักวันคุณก็สามารถประสบความสำเร็จได้เช่นเดียวกันในการเริ่มต้นธุรกิจของคุณเอง ขอบคุณสำหรับการติดตาม ไว้เจอกันใหม่บทความหน้าสวัสดีครับ

Comments

comments